คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7562/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

พยานหลักฐานประกอบตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 176 จะต้องไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพ การรับฟังคำรับชั้นสอบสวนซึ่งจำเลยปฏิเสธในชั้นพิจารณามาใช้ลงโทษจำเลยโจทก์ต้องมีพยานประกอบว่าจำเลยกระทำผิดจริงโดยพยานประกอบนั้นต้องมิใช่คำของเจ้าพนักงานตำรวจผู้สอบสวนคำรับนั้น ส่วนบันทึกการจับกุม คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลย บันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพและภาพถ่ายประกอบการนำชี้ที่เกิดเหตุแม้จะมีภาพจำเลยและมีข้อความระบุว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายแต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนไม่ใช่พยานหลักฐานที่จะนำมารับฟังประกอบคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเพื่อให้เห็นว่าจำเลยกระทำความผิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288ริบปลอกกระสุนปืนลูกซอง 1 ปลอก ทับกระสุนปืนลูกซอง 1 อัน และเม็ดตะกั่ว 2 เม็ด ของกลาง และให้นับโทษจำเลยคดีนี้ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 476/2535
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 จำคุกตลอดชีวิต จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 53, 78 หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยมีกำหนด 33 ปี 4 เดือน นับโทษจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 476/2535 ของศาลชั้นต้น ของกลางริบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง แต่ให้ริบของกลาง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติโดยคู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งว่า ตามวันเวลาและสถานที่ที่โจทก์กล่าวในฟ้อง ผู้ตายถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนลูกซองยิงจำนวน 2 นัด เป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายรายละเอียดบาดแผลปรากฏตามรายงานการชันสูตรพลิกศพ เอกสารหมาย จ.1 ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่าจำเลยได้กระทำผิดจริงดังฟ้องหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้จำเลยให้การปฏิเสธข้อหา มิได้ให้การรับสารภาพตามมาตรา 176 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องนำสืบให้ฟังได้สมฟ้องจึงจะลงโทษจำเลยได้ ในคดีนี้ปัญหาข้อเท็จจริงอยู่ที่ว่าเท่าที่โจทก์มีพยานหลักฐานนำสืบมาเพียงพอให้เชื่อฟังได้หรือไม่ว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิดดังฟ้อง ประจักษ์พยานโจทก์ที่รู้เห็นขณะผู้ตายถูกยิงไม่มีเลย คงมีแต่นายดาบตำรวจไพรัช ถึงแก้วมาเบิกความว่าพยานได้รับคำสั่งให้สืบสวนหาตัวคนร้ายในคดีนี้เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2534 จากการสืบสวนทราบว่าจำเลยเป็นคนร้ายดังกล่าว พยานจึงรายงานให้พันตำรวจโทสำรวย ปุณโณทก พนักงานสอบสวนทราบ คำเบิกความของนายดาบตำรวจไพรัชเป็นเพียงพยานบอกเล่า ไม่ปรากฏว่า สืบทราบข้อเท็จจริงดังกล่าวมาจากผู้ใดกล่าวอ้างเพียงลอย ๆ ว่า ทราบมาจากญาติของผู้ตายเท่านั้น จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังนอกจากนี้โจทก์ก็มีเพียงบันทึกการจับกุมเอกสารหมายจ.5 ที่มีข้อความว่าจำเลยให้การรับสารภาพว่าฆ่าผู้ตาย คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่รับว่าฆ่าผู้ตายเอกสารหมาย จ.7 บันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพเอกสารหมาย จ.8 และภาพถ่ายประกอบการนำชี้ที่เกิดเหตุหมาย จ.9 โดยมีพันตำรวจตรีโยธินแสงสมบูรณ์ ผู้จับกุมมาเบิกความประกอบว่า จำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและร้อยตำรวจเอกมนู เลิศพันธ์ พนักงานสอบสวนมาเบิกความประกอบว่าจำเลยให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนเท่านั้น ซึ่งร้อยตำรวจเอกมนูก็ตอบคำถามค้านทนายจำเลยยอมรับว่า คดีนี้ไม่มีประจักษ์พยานมีแต่คำรับสารภาพของจำเลยเพียงประการเดียว ซึ่งหากไม่มีคำรับสารภาพดังกล่าวก็คงจะสรุปสำนวนสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องไม่ได้ ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์คงมีแต่พยานในข้อว่า จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนดังพยานได้สอบสวนไว้เท่านั้น เมื่อในชั้นพิจารณาจำเลยให้การปฏิเสธโจทก์นำสืบเพียงว่าในชั้นสอบสวนจำเลยรับสารภาพต่อพยานดังที่ได้สอบสวนจดบันทึกไว้เช่นนี้ ถือว่าเป็นแต่ส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพในชั้นสอบสวนเท่านั้นมิใช่เป็นหลักฐานประกอบคำรับสารภาพของจำเลยตามมาตรา 176 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พยานหลักฐานประกอบตามมาตรา 176 จะต้องไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพนั้นเอง การรับฟังคำรับชั้นสอบสวนซึ่งจำเลยปฏิเสธในชั้นพิจารณามาใช้ลงโทษจำเลย โจทก์ต้องมีพยานประกอบว่าจำเลยกระทำผิดจริงโดยพยานประกอบนั้นต้องมิใช่คำของเจ้าพนักงานตำรวจผู้สอบสวนคำรับนั้นเองส่วนบันทึกการจับกุม คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยบันทึกการ นำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพและภาพถ่ายประกอบการนำชี้ที่เกิดเหตุนั้น แม้จะมีภาพจำเลยและมีข้อความระบุว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายก็ตาม แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเท่านั้น ไม่ใช่พยานหลักฐานที่จะนำมารับฟังประกอบคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเพื่อให้เห็นว่าจำเลยกระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสืบประกอบคำรับดังกล่าวแต่อย่างใด เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธในชั้นพิจารณาและนำสืบปฏิเสธว่า คำรับดังกล่าวพนักงานสอบสวนได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย พยานหลักฐานของโจทก์เพียงเท่าที่นำสืบมา ก็ไม่พอให้รับฟังลงโทษจำเลยได้ตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share