แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมโดยอ้างเหตุแต่เพียงว่าโจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้ชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา ส่วนในเรื่องคำขอบังคับไม่ชัดแจ้งเคลือบคลุม จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ก่อนฟ้องโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทราบว่าจะขอทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาท แต่จำเลยเพิกเฉยไม่ยอมแบ่งแยก ข้อโต้แย้งเกิดขึ้นแล้ว โจทก์มีอำนาจฟ้อง โจทก์กับ ล. มีชื่อในโฉนดเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินร่วมกัน เมื่อปรากฏว่าโจทก์กับ ล. ทำสัญญาแบ่งที่ดินกันและโจทก์เข้าครอบครองที่ดินตามข้อตกลงในสัญญาเป็นส่วนสัดโดยความสงบและโดยเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาเป็นเวลา10 ปีแล้ว โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินมีโฉนดร่วมกับนางลั้น เดือนเพ็ญ ที่ดินมีเนื้อที่ 25 ไร่ 3 งาน 60 ตารางวาเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2490 โจทก์กับนางลั้นทำสัญญาแบ่งแยกที่ดินกันเป็นส่วนสัด โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินทางด้านทิศใต้ เนื้อที่ประมาณ14 ไร่เศษ หลังจากนั้นโจทก์ครอบครองในที่ดินส่วนของโจทก์ตลอดมาเป็นเวลา 30 ปีเศษแล้ว ไม่มีผู้ใดโต้แย้งสิทธินายไน่กินเดือนเพ็ญ รับมรดกที่ดินส่วนของนางลั้น ต่อมาจำเลยรับมรดกที่ดินดังกล่าวจากนายไน่กิม ขอให้บังคับจำเลยไปยื่นคำขอรังวัดต่อสำนักงานที่ดิน จังหวัดชลบุรี เพื่อแบ่งแยกที่ดินให้โจทก์ หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า โจทก์กับจำเลยมิได้แบ่งแยกกันครอบครองที่ดินเป็นส่วนสัด สัญญาแบ่งแยกที่ดินที่โจทก์อ้างเป็นสัญญาปลอมที่ดินที่โจทก์ขอแบ่งแยกมีเนื้อที่มากเกินส่วนที่โจทก์ควรได้ ก่อนฟ้องโจทก์ไม่เคยบอกกล่าวให้จำเลยไปรังวัดแบ่งแยก โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะมิได้บรรยายให้แจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยไปทำการรังวัดเพื่อแบ่งแยกที่ดินที่โจทก์ครอบครองให้แก่โจทก์ ถ้าไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประเด็นแรกจำเลยฎีกาว่า คำขอบังคับท้ายฟ้องเคลือบคลุม คำขอบังคับเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง เมื่อคำฟ้องเคลือบคลุมจึงเป็นคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง นั้นเห็นว่า จำเลยให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมโดยอ้างเหตุแต่เพียงว่าโจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้ชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา ส่วนในเรื่องคำขอบังคับไม่ชัดแจ้งเคลือบคลุมนั้น จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้
ประเด็นต่อไปจำเลยฎีกาว่า ก่อนฟ้องโจทก์ไม่เคยบอกกล่าวให้จำเลยทราบว่า จะขอทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาท ข้อโต้แย้งยังไม่เกิดขึ้น โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า โจทก์นำสืบว่าโจทก์ได้ติดต่อขอให้จำเลยแบ่งแยกโฉนดที่ดินพิพาท แต่จำเลยเพิกเฉยส่วนจำเลยมิได้นำสืบโต้แย้งในข้อนี้แต่อย่างใด ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า ก่อนฟ้องโจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยทราบว่าจะขอทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทแต่จำเลยเพิกเฉยไม่ยอมแบ่งแยก ข้อโต้แย้งเกิดขึ้นแล้วดังนั้น โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
ประเด็นสุดท้ายจำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้ครอบครองที่ดินพิพาทเป็นส่วนสัดนั้น เห็นว่า โจทก์นำสืบนอกจากมีเอกสารหมาย จ.2 และจ.4 มาแสดงแล้วโจทก์ยังมีพยานบุคคลคือตัวโจทก์นายอนิวัฒน์กำนันตำบลหนองซ้ำซากและนางทองเดิมผู้เขียนเอกสารหมาย จ.4 มาเบิกความประกอบเอกสารดังกล่าวว่า เมื่อปี 2489 โจทก์กับนางลั้นได้ไปยื่นคำขอต่อสำนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรีขอแบ่งแยกที่ดินพิพาทด้านทิศใต้เป็นของโจทก์ ส่วนแปลงคงเหลือเป็นของนางลั้น ตามเอกสารหมาย จ.2 แต่ไม่สามารถแบ่งแยกได้เพราะเจ้าของที่ดินข้างเคียงคัดค้านว่าโจทก์และนางลั้นนำรังวัดรุกล้ำเข้าไปในเขตที่ดินของผู้คัดค้านดังกล่าว ต่อมาในปี 2490 โจทก์กับนางลั้นจึงได้ไปทำสัญญาแบ่งที่ดินพิพาทต่อกำนันตำบลหนองซ้ำซากโดยมีข้อตกลงว่าโจทก์ได้ที่ดินพิพาทด้านทิศใต้ส่วนนางลั้นได้ที่ดินพิพาทด้านทิศเหนือ ตามเอกสารหมาย จ.4 พยานหลักฐานของโจทก์เชื่อมโยงสอดคล้องกันจึงน่าเชื่อ ส่วนข้อที่จำเลยอ้างว่าเอกสารหมาย จ.4 เป็นเอกสารปลอมนั้นจำเลยก็นำสืบลอย ๆ ประกอบกับไม่ปรากฏว่ากำนันตำบลหนองซ้ำซากและนางทองเติมเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับนางลั้นหรือนายไน่กิมหรือจำเลย และบุคคลทั้งสองดังกล่าวก็ไม่มีผลประโยชน์ส่วนได้เสียเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทด้วย จึงไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าบุคคลทั้งสองจะแกล้งทำเอกสารหมาย จ.4 ปลอมขึ้นมา นอกจากนี้แม้จะปรากฏตามใบเสร็จรับเงินภาษีบำรุงท้องที่เอกสารหมาย จ.21 ถึงจ.23 ว่านางปีนายไน่กิมเป็นผู้เสียภาษีที่ดินพิพาทดังจำเลยฎีกาก็ตาม แต่เอกสารหมาย จ.21 ถึง จ.23 ก็ไม่มีข้อความแสดงว่าโจทก์กับนายไน่กิมครอบครองที่ดินพิพาทร่วมกัน ซึ่งไม่เหมือนกับเอกสารหมาย จ.2 และ จ.4 ซึ่งมีข้อความแสดงไว้ชัดแจ้งว่า โจทก์และนางลั้นได้แบ่งกันครอบครองที่ดินพิพาทโดยตกลงกันให้โจทก์ได้ที่ดินพิพาทด้านทิศใต้ ส่วนนางลั้นได้ที่ดินพิพาทด้านทิศเหนือดังนี้พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักดีกว่า ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าเมื่อปี 2489 และปี 2490 โจทก์และนางลั้นได้ตกลงแบ่งที่ดินพิพาทกันตามเอกสารหมาย จ.2 และ จ.4 และโจทก์ได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทด้านทิศใต้เป็นส่วนสัดตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องหมายเลข 3โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาเป็นเวลา 10 ปีแล้วโจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 1,000 บาทแทนโจทก์.