แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์กล่าวในฟ้องถึงการกระทำของจำเลยแยกจากกันเป็นสองกรณี คือ จำเลยเป็นตัวการจ้างวานบุคคลอื่น ทำการขุดร่องน้ำในที่ดินบริเวณรัศมีคลองชลประทานสัมปทวน ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังของบุคคลซึ่งจำเลยว่าจ้างทำให้โดนท่อน้ำประปาของโจทก์ ซึ่งฝังไว้บริเวณทางเข้าที่ดินโจทก์แตกหักเสียหาย ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยเป็นเงิน 100 บาท จำเลยในฐานะตัวการและผู้ว่าจ้างต้องรับผิดชอบต่อ ความเสียหายดังกล่าวกรณีหนึ่ง และหลังจากที่จำเลยจ้างบุคคลอื่นขุดร่องน้ำในที่ดินดังกล่าวซึ่งโจทก์ใช้เป็นที่ทำสวนและเข้าออกสู่ถนนสาธารณประโยชน์แล้ว จำเลยได้เอาเครื่องสูบน้ำไปตั้งสูบน้ำขึ้นจากคลองชลประทานสัมปทวน เข้าไปในร่องน้ำดังกล่าว เป็นเหตุให้น้ำไหลเอ่อท่วมที่ดินของโจทก์ ทำให้โจทก์ไม่สามารถปลูกพืชทำสวนในที่ดินนั้น ตลอดจนบริเวณพื้นที่รัศมีคลองชลประทานสัมปทวนได้อีกกรณีหนึ่ง ดังนี้ ในกรณีแรกโจทก์ขอให้บังคับจำเลยใช้ ค่าเสียหายในการซ่อมแซมท่อน้ำประปาเป็นเงิน 100 บาท เมื่อความเสียหายส่วนนี้มีทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์ ไม่เกิน 50,000 บาท จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคหนึ่ง
ส่วนกรณีหลัง โจทก์ขอให้บังคับจำเลยกลบร่องน้ำที่ขุดและทำที่ดินให้อยู่ในสภาพเดิม กับห้ามจำเลยสูบน้ำจากคลองชลประทานสัมปทวนเข้าไปในร่องน้ำ ถือได้ว่าเป็นคดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็น ราคาเงินได้ จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามมาตรา 224 วรรคสอง แม้โจทก์จะมีคำขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย ที่โจทก์ขาดประโยชน์จากการทำสวนในที่ดินบริเวณรัศมีคลองชลประทานสัมปทวนที่จำเลยขุดร่องน้ำและที่ดิน ของโจทก์เป็นเงิน 1,500 บาท และค่าเสียหายในอนาคตอีกเดือนละ 1,000 บาท มาด้วยก็ตาม ก็ไม่ทำให้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามมาตรา 224 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในส่วนนี้จึงไม่ชอบและเมื่อคดีในส่วนนี้ ไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามมาตรา 248 วรรคสอง ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยไปเลยโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ ๙๘๗๓ และที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ หมู่ที่ ๖ ตำบลสามควายเผือก อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม เมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๔ จำเลยจ้างคนขุดร่องน้ำในที่ดินบริเวณรัศมีคลองชลประทานสัมปทวนซึ่งติดที่ดินของโจทก์และโจทก์ใช้เป็นที่ทำสวน เป็นทางเข้าออกที่ดินของโจทก์ วันที่ ๒๕ และ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๔ และวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๓๔ จำเลยตั้งเครื่องสูบน้ำสูบน้ำจากคลองชลประทานดังกล่าวเข้าไปในร่องน้ำที่จำเลยขุด เป็นเหตุให้น้ำไหลท่วมเข้าไปในที่ดินโจทก์ทั้งสองแปลงเป็นเนื้อที่ประมาณ ๑ ไร่ โจทก์ ไม่สามารถปลูกพืชทำสวนในที่ดินของโจทก์และที่ดินบริเวณรัศมีคลองจึงขาดรายได้เฉลี่ยประมาณ ๑,๐๐๐ บาทต่อเดือน คิดถึงวันฟ้องเป็นเวลา ๑ เดือน ๑๕ วัน เป็นเงิน ๑,๕๐๐ บาท และจากการขุดร่องน้ำดังกล่าว เป็นเหตุให้ท่อน้ำประปาของโจทก์ซึ่งฝังไว้บริเวณทางเข้าที่ดินโจทก์แตกหัก ต้องเสียค่าใช้จ่ายซ่อมแซมประมาณ ๑๐๐ บาท ขอให้บังคับจำเลย กลบร่องน้ำและทำที่ดินให้อยู่ในสภาพเดิม หากไม่กระทำให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนา โดยให้โจทก์หรือตัวแทนโจทก์กลบร่องน้ำดังกล่าวได้โดยให้จำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายและห้ามจำเลยสูบน้ำจากคลอง ชลประทานสัมปทวนเข้าไปในร่องน้ำที่จำเลยขุดอีกต่อไป ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายจำนวน ๑,๕๐๐ บาท กับค่าเสียหายเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจำเลยจะหยุดกระทำละเมิดต่อโจทก์ และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายในการซ่อมแซมท่อประปาเป็นเงิน ๑๐๐ บาท
จำเลยให้การว่า จำเลยสูบน้ำไหลไปตามลำรางสาธารณประโยชน์ ซึ่งมีอยู่เดิมขนานกับถนนสาธารณประโยชน์ ไม่ได้ไหลท่วมที่ดินของโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย ที่ดินที่จำเลยขุดร่องน้ำไม่ใช่ที่ดิน ของโจทก์แต่เป็นที่ดินของกรมชลประทาน ที่ดินที่โจทก์อ้างว่าน้ำท่วมเป็นที่ว่างเปล่า โจทก์ไม่เคยปลูกพืชหรือ ทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว ท่อประปาของโจทก์ที่เสียหายนั้น จำเลยได้จัดการซ่อมแซมให้แล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาห้ามมิให้จำเลยสูบน้ำจากคลองชลประทานสัมปทวนหรือกระทำการใด ๆ ให้น้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายจำนวน ๑,๑๐๐ บาท แก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกอุทธรณ์ของจำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์กล่าวในฟ้องถึงการกระทำของจำเลยแยกกันเป็นสองกรณี คือ เมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๔ จำเลยเป็นตัวการจ้างวานบุคคลอื่นทำการขุดร่องน้ำในที่ดินบริเวณรัศมีคลองชลประทานสัมปทวนด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังของบุคคลซึ่งจำเลยว่าจ้างทำให้โดนท่อน้ำประปาของโจทก์ ซึ่งฝังไว้บริเวณทางเข้าที่ดินโจทก์แตกหักเสียหาย ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยเป็นเงิน ๑๐๐ บาท จำเลยในฐานะตัวการและผู้ว่าจ้างต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายดังกล่าวกรณีหนึ่ง และหลังจากที่จำเลยจ้างบุคคลอื่นขุดร่องน้ำดังกล่าวซึ่งโจทก์ใช้เป็นที่ทำสวนและเข้าออกสู่ถนนสาธารณประโยชน์แล้ว จำเลยได้เอาเครื่องสูบน้ำไปตั้งสูบน้ำขึ้นจากคลองชลประทานสัมปทวนเข้าไปในร่องน้ำดังกล่าวเมื่อวันที่ ๒๕ และ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๔ กับวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๓๔ เป็นเหตุให้น้ำไหลเอ่อท่วมที่ดินโฉนดเลขที่ ๙๘๗๓ และที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ ๑๕๕ ของโจทก์ซึ่งมีเนื้อที่ติดต่อกันทำให้โจทก์ไม่สามารถปลูกพืชทำสวนในที่ดินทั้งสองแปลงนั้น ตลอดจนบริเวณพื้นที่รัศมีคลองชลประทานสัมปทวนได้อีกกรณีหนึ่ง เห็นว่าในกรณีแรกโจทก์ขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเสียหายในการซ่อมแซมท่อน้ำประปาเป็นเงิน ๑๐๐ บาท เมื่อความเสียหายส่วนนี้มีทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์ไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยได้จัดการ แก้ไขเปลี่ยนท่อใหม่ให้โจทก์ตั้งแต่วันที่ทำแตกแล้ว โจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหาย ศาลชั้นต้นให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายส่วนนี้ไม่ถูกต้องนั้น เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้น เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยส่วนนี้ให้ จึงเป็นการชอบแล้ว
ส่วนกรณีหลัง โจทก์ขอให้บังคับจำเลยกลบร่องน้ำที่ขุดและทำที่ดินให้อยู่ในสภาพเดิม กับห้ามจำเลยสูบน้ำจากคลองชลประทานสัมปทวนเข้าไปในร่องน้ำ ถือได้ว่าเป็นคดีฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็น ราคาเงินได้ จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามมาตรา ๒๒๔ วรรคสอง แม้โจทก์จะมีคำขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย ที่โจทก์ขาดประโยชน์จากการทำสวนในที่ดินบริเวณรัศมีคลองชลประทานสัมปทวนที่จำเลยขุดร่องน้ำและที่ดินของโจทก์เป็นเงิน ๑,๕๐๐ บาท และค่าเสียหายในอนาคตอีกเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท มาด้วยก็ตาม ก็ไม่ทำให้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามมาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยในส่วนนี้นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย และเมื่อคดีในส่วนนี้ไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามมาตรา ๒๔๘ วรรคสอง ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปเลยโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีก สำหรับคำขอในส่วนที่ขอให้บังคับจำเลยกลบร่องน้ำนั้น ศาลชั้นต้นพิพากษา ยกคำขอส่วนนี้ โจทก์ไม่อุทธรณ์ จึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คงมีปัญหาวินิจฉัยว่า น้ำที่จำเลยสูบมาจากคลองชลประทานสัมปทวนไหลท่วมที่ดินของโจทก์หรือไม่ และวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยสูบน้ำ ไหลเข้าไปท่วมที่ดินของโจทก์ทำให้โจทก์เสียหาย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในส่วนนี้ คงต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายในการซ่อมแซมท่อประปาเป็นเงิน ๑๐๐ บาท แก่โจทก์เท่านั้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย ๑๐๐ บาท แก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก .