แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อที่ดินจากจำเลยและได้ชำระค่าเช่าซื้อบางส่วนให้จำเลยแล้ว ต่อมาโจทก์จำเลยแสดงเจตนาเลิกสัญญากันและเป็นผลให้โจทก์จำเลยกลับคืนสู่ฐานะเดิม ดังนี้ จำเลยจึงต้องคืนเงินค่าเช่าซื้อที่ได้รับไว้ให้โจทก์รวมทั้งดอกเบี้ยของเงินดังกล่าวด้วย โดยคิดตั้งแต่เวลาที่รับเงินนั้นไว้ในอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 ประกอบด้วยมาตรา 391
แม้โจทก์จะมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยโดยคิดตั้งแต่เวลาที่จำเลยรับเงินไว้แต่เมื่อฎีกาขอดอกเบี้ยมาเพียงนับแต่วันพ้นกำหนดคำบอกกล่าวให้คืนเงินค่าเช่าซื้อเท่านั้น ศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้ได้เท่าที่ขอ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อที่ดินจากจำเลย ๓ แปลง ผ่อนชำระค่าเช่าซื้อไปแล้ว ๓๘,๒๐๐ บาท ต่อมาจำเลยไม่ยอมรับค่าเช่าซื้อจากโจทก์ ทั้งปฏิบัติผิดสัญญาอีกหลายประการ โจทก์จึงให้ทนายความบอกเลิกสัญญากับจำเลยและให้จำเลยคืนเงินค่าที่ดิน แต่จำเลยไม่จัดการอย่างไร จึงขอให้จำเลยร่วมกันคืนเงิน ๓๘,๒๐๐ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี นับแต่วันที่จำเลยผิดสัญญา
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ให้การว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่าซื้อติดต่อกัน ๓ งวด จำเลยที่ ๑ ไม่ต้องคืนเงินค่าเช่าซื้อให้โจทก์ และจำเลยที่ ๒ มิได้มีนิติสัมพันธ์เป็นส่วนตัวกับโจทก์ จึงไม่ต้องรับผิด
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า จำเลยที่ ๓ ทำสัญญาเช่าซื้อที่ดินกับโจทก์ในฐานะตัวแทนของกองพลปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
ศาลชั้นต้นฟังว่า โจทก์และจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ไม่มีฝ่ายใดผิดสัญญา แต่ตามพฤติการณ์ของทั้งสองฝ่ายเป็นการแสดงเจตนาว่าจะเลิกสัญญา สัญญาเช่าซื้อจึงเป็นอันเลิกกัน จำเลยที่ ๑ ต้องคืนเงินค่าเช่าซื้อ ๓๘,๒๐๐ บาท ให้โจทก์ และต้องเสียดอกเบี้ยนับจากเดือนที่จำเลยที่ ๑ ทราบถึงการบอกเลิกสัญญาให้โจทก์ด้วย จำเลยที่ ๒ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ ๑ จึงต้องร่วมรับผิดด้วย ส่วนจำเลยที่ ๓ ไม่ได้เป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ร่วมกันชำระเงิน ๓๘,๒๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี นับแต่เดือนสิงหาคม ๒๕๑๕ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยที่ ๓ ให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ร่วมกันคืนเฉพาะเงิน ๓๘,๒๐๐ บาทให้โจทก์โดยไม่ต้องชำระดอกเบี้ย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะข้อกฎหมายว่า เมื่อคู่สัญญากลับคืนสู่ฐานะเดิม โจทก์ได้บอกกล่าวกำหนดเวลาให้จำเลยส่งคืนเงินค่าเช่าซื้อ จำเลยเพิกเฉย จำเลยจะต้องเสียดอกเบี้ยนับแต่วันพ้นกำหนดหรือไม่
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาเฉพาะข้อกฎหมาย ข้อเท็จจริงยุติตามที่ศาลล่างวินิจฉัยว่า โจทก์จำเลยแสดงเจตนาเลิกสัญญากันและเป็นผลให้โจทก์รวมทั้งดอกเบี้ยของเงินดังกล่าวโดยคิดตังแต่เวลาที่รับเงินนั้นไว้ในอัตราร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗ ประกอบด้วยมาตรา ๓๙๑ แต่โจทก์ฎีกาขอมาเพียงว่านับแต่วันฟ้องพ้นกำหนดตามคำบอกกล่าวให้คืนเงินค่าเช่าซื้อ เท่านั้น จึงพิพากษาให้ได้เท่าที่ขอ
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เป็นให้จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ร่วมกันใช้ดอกเบี้ยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์