คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 888/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

มีคนร้ายลักอาวุธปืนของผู้เสียหายไปตั้งแต่วันที่12 ต่อมาวันที่ 16 เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมอาวุธปืน พนักงานอัยการโจทก์จึงฟ้องจำเลยฐานมีปืนไว้ในความครอบครองไม่รับอนุญาตเป็นคดีหนึ่ง แล้วฟ้องฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรอีกคดีหนึ่ง ดังนี้เห็นได้ว่าการกระทำผิดฐานมีอาวุธปืนนั้น จำเลยย่อมจะได้กระทำผิดนับแต่วาระแรกที่ได้ปืนนั้นมาไว้ในครอบครอง และเป็นความผิดอยู่เรื่อยไปจนกระทั่งจำเลยถูกจับได้พร้อมอาวุธปืน ส่วนความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรนั้น เป็นความผิดในขณะใดขณะหนึ่งตามที่โจทก์กล่าวหา ฉะนั้น การกระทำผิดของจำเลยที่โจทก์กล่าวหาทั้งสองคดีจึงอาจเป็นความผิดคนละกระทงต่างกรรมต่างวาระกันได้ ฟ้องของโจทก์ไม่ต้องห้ามตามกฎหมาย
ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 19/2507

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าเมื่อ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๐๖ เวลากลางวัน มีคนร้ายเข้าไปในห้องเรือนของนายสงวน อินเถื่อนแล้วลักอาวุธปืนลูกซองพกขนาด ๑๒ หนึ่งกระบอก ราคา ๓๐๐ บาท ของนายสงวนไป ต่อมาวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๐๖ เวลากลางคืนหลังเที่ยง เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมอาวุธปืนดังกล่าว ทั้งนี้โดยจำเลยบังอาจลักไปหรือมิฉะนั้น ตามวันเวลาดังกล่าวทั้งสองตอน ทั้งกลางวันและกลางคืนตลอดมาจนวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๐๖ เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยบังอาจรับอาวุธปืนลูกซองพกนั้นไว้จากคนร้ายโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นปืนที่ได้มาจากการกระทำผิดลักษณะลักทรัพย์ เหตุเกิดตำบลไผ่สิงห์ ตำบลพันลาน อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ ระหว่างสอบสวน จำเลยไม่ถูกควบคุมในคดีนี้แต่ต้องขังอยู่ตามคดีหมายเลขดำ ๑๖๖/๒๕๐๖ และ ๗๖๗/๒๕๐๖ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๓๕(๘),๓๕๗ คืนอาวุธปืนของกลางแก่ผู้เสียหาย และนับโทษต่อคดีดำที่ ๑๖๖/๒๕๐๖ และ๗๖๗/๒๕๐๖
ก่อนจำเลยให้การ ศาลชั้นต้นสอบโจทก์ โจทก์แถลงว่าจำเลยเป็นคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาดำที่ ๗๖๗/๒๕๐๖ ของศาลจังหวัดนครสวรรค์ เรื่องมีอาวุธปืนไม่รับอนุญาต และแถลงว่าอาวุธปืนที่หาว่าจำเลยมีไว้ในครอบครองไม่รับอนุญาตนั้นเป็นปืนกระบอกเดียวกับที่หาว่าจำเลยลักหรือรับของโจรคดีนี้ โจทก์รับต่อไปว่า จับจำเลยได้พร้อมด้วยอาวุธปืนของกลางคดีนี้ ซึ่งเป็นวันเวลาเดียวกันกับที่หาว่าจำเลยมีอาวุธปืนไม่รับอนุญาตในคดีอาญาดำที่ ๗๖๗/๒๕๐๖ กับโจทก์รับว่าโจทก์ฟ้องคดีดำ ๗๖๗/๒๕๐๖ ก่อนฟ้องคดีนี้ ศาลชั้นต้นสั่งว่า รูปคดีพอวินิจฉัยได้ ให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้วพิพากษาว่า คดีอาญาหมายเลขดำ ๗๖๗/๒๕๐๖ อยู่ระหว่างพิจารณาสืบพยานโจทก์ ฉะนั้น เมื่อโจทก์หาว่าจำเลยลักหรือรับของโจรปืนกระบอกของกลางมา จำเลยก็ต้องมีไว้ในครอบครองในปืนกระบอกของกลางจึงเป็นเรื่องเดียวกัน เพราะถ้าจำเลยลักแล้วก็ต้องมีไว้ในครอบครอง คือ ต้องใช้กิริยาอาการลักหรือรับปืนไว้ก่อนแล้วจึงจะมีปืนไว้ในครอบครอง เมื่อโจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยมีอาวุธปืนของกลางไว้ไม่รับอนุญาตแล้ว โจทก์จะฟ้องเรื่องลักทรัพย์หรือรับของโจรอันเป็นการกระทำอันเดียวกัน
อันเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๓ ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕ เมื่อกฎหมายห้ามโจทก์มิให้ฟ้องแล้ว ก็ต้องยกฟ้องคดีนี้เสีย พิพากษายกฟ้องโจทก์ปล่อยจำเลยเฉพาะคดีนี้พ้นข้อหาไป
โจทก์อุทธรณ์ว่า ตามข้อเท็จจริงที่ได้ความ ฟ้องของโจทก์ไม่ต้องห้ามขอให้พิพากษาให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษาต่อไป
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จะนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๗๓ มาใช้บังคับมิได้ เพราะสิทธินำคดีอาญามาฟ้องจะระงับหรือไม่ ได้บัญญัติไว้ในประมวลวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๓๙ อยู่แล้วคำฟ้องของโจทก์เรื่องลักทรัพย์หรือรับของโจรอาวุธปืน ไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายนี้ สิทธินำคดีมาฟ้องของโจทก์ยังไม่ระงับ และไม่ต้องห้าม
อนึ่ง ฟ้องของโจทก์คดีนี้เป็นคนละข้อหากับคำฟ้องในคดีอาญาดำที่ ๗๖๗/๒๕๐๖ แม้อาวุธปืนของกลางจะเป็นกระบอกเดียวกัน เกี่ยวข้องเป็นเรื่องเดียวกัน การกระทำอันเดียวกันเป็นความผิดตามกฎหมายหลายบทหลายกระทงหรือไม่อย่างไร ก็ไม่มีบทกฎหมายบัญญัติห้ามไม่ให้โจทก์นำคดีมาฟ้อง ในเมื่อคดีอาญาดำที่ ๗๖๗/๒๕๐๖ ยังอยู่ในระหว่างพิจารณา ส่วนในเรื่องที่จะลงโทษจำเลยคดีนี้ได้หรือไม่เพียงใดเป็นเรื่องที่จะรวมพิจารณาและพิพากษาด้วยกันได้ตามกฎหมายและรูปคดี พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ดำเนินการพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกาว่า คดีนี้เป็นเรื่องฟ้องซ้ำดังศาลชั้นต้นวินิจฉัยไว้ ขอให้พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาตรวจสำนวนแล้ว โจทก์รับว่าจำเลยคนเดียวกันนี้ โจทก์ได้ฟ้องเป็นจำเลยในคดีดำที่ ๗๖๗/๒๕๐๖ ในข้อหาว่ามีอาวุธปืนกระบอกเดียวกับที่ฟ้องในคดีนี้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต คดีดำที่ ๗๖๗/๒๕๐๖ นั้น โจทก์ได้ฟ้องไว้ก่อนคดีนี้ และโจทก์ยังได้แถลงรับต่อไปว่า จับจำเลยได้พร้อมทั้งอาวุธปืนของกลางในคดีนี้ ซึ่งเป็นวันเวลาเดียวกันกับที่โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตในคดีอาญาดำที่ ๗๖๗/๒๕๐๖ นั้นเอง ปัญหามีว่า ความผิดฐานมีปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตที่โจทก์ฟ้องกล่าวหาจำเลยในคดีอาญาดำที่ ๗๖๗/๒๕๐๖กับความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรที่โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยคนเดียวกันกระทำผิดในคดีนี้ จะเป็นการกระทำกรรมเดียววาระเดียวกันหรือเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระกัน ปัญหาข้อนี้ศาลฎีกาได้วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่แล้ว เห็นว่าการกระทำผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น จำเลยย่อมจะได้กระทำผิดนับแต่วาระแรกที่ได้ปืนนั้นมาไว้ในครอบครอง และเป็นความผิดอยู่เรื่อยไปจนกระทั่งจำเลยถูกจับได้พร้อมทั้งอาวุธปืนของกลางนั้น ส่วนความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรที่โจทก์ฟ้องจำเลยในคดีนี้นั้น
โจทก์ฟ้องว่า
คนร้ายได้ลักปืนของกลางไปเมื่อ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๐๖ เวลากลางวัน ต่อมาวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๐๖ เวลากลางคืนหลังเที่ยงเจ้าพนักงานจึงจับจำเลยได้พร้อมด้วยอาวุธปืนของกลาง ทั้งนี้ โดยจำเลยเป็นคนร้ายลักปืนกระบอกนี้ไปเมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๐๖ หรือจำเลยรับของโจรปืนของกลางนี้ในขณะใดขณะหนึ่งระหว่างวันที่ ๑๒ ถึงวันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๐๖ ดังนี้ จึงเห็นได้ว่าความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรนั้นเป็นความผิดในขณะใดขณะหนึ่งตามที่โจทก์กล่าวหา แต่ความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น เป็นความผิดแต่ขณะแรกที่มีปืนไว้ในครอบครองและเป็นความผิดอยู่เรื่อยไปจนกระทั่งจำเลยถูกจับได้พร้อมอาวุธปืนนั้น ฉะนั้น การกระทำผิดของจำเลยที่โจทก์กล่าวหาทั้งสองคดีนี้ จึงอาจเป็นความผิดคนละกระทงต่างกรรมต่างวาระกันได้ ฟ้องของโจทก์ไม่ต้องห้ามตามกฎหมาย ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ดำเนินการพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่ชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share