แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยผู้อาศัยออกจากที่ดินพิพาท จำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ ในคำฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่าที่ดินพิพาทอาจให้เช่าได้ในอัตราเดือนละเท่าใด แต่ปรากฏจากคำให้การจำเลยว่าอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 50 บาท ซึ่งไม่มีการโต้แย้งเป็นอย่างอื่น จึงถือได้ตามคำให้การจำเลยว่าอัตราค่าเช่าเดือนละ 50 บาท จำเลยจึงต้องห้ามอุทธรณ์ข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224 จำเลยฎีกาว่าจำเลยมีสิทธิขอเช่าที่ดินพิพาทจากโจทก์ร่วมได้เพราะตามระเบียบของโจทก์ร่วมจะต้องให้จำเลยเช่าที่ดินพิพาท โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องและโจทก์ส่งสำเนาคำฟ้องแต่มิได้ส่งสำเนาคำร้องขอให้เรียกโจทก์ร่วมเข้ามาในคดีเป็นการไม่ชอบนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง การที่โจทก์เช่าที่ดินพิพาทจากโจทก์ร่วมแต่เข้าครอบครองใช้ประโยชน์ไม่ได้เพราะมีบ้านจำเลยปลูกอยู่ โจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาหาประโยชน์ในที่ดินพิพาทและมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยผู้มีฐานะเป็นเพียงผู้อาศัยสิทธิผู้เช่าที่ดินพิพาทเดิมปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่ดินพิพาทโจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทโดยขอให้ศาลเรียกโจทก์ร่วมผู้ให้เช่าเข้าเป็นโจทก์ร่วมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 549 ประกอบด้วยมาตรา 477
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เช่าที่ดินจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์จำเลยรอนสิทธิโจทก์โดยจำเลยปลูกบ้านอาศัยอยู่บนที่ดินดังกล่าวโดยอาศัยสิทธิของผู้เช่าเดิม ขอให้จำเลยรื้อถอนบ้านออกไป ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องและให้ใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า ที่ดินพิพาทขุนภิรมย์พานิชเป็นผู้เช่าจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ขุนภิรมย์พานิชยกสิทธิการเช่าที่ดินพิพาทให้จำเลยปลูกบ้านอยู่อาศัยโดยจะจดทะเบียนแบ่งโอนการเช่าภายหลัง จำเลยเข้าไปปลูกบ้านอยู่อาศัยตลอดมา ต่อมาขุนภิรมย์พานิชถึงแก่กรรมโดยยังไม่ได้แบ่งโอนสิทธิการเช่าให้แก่จำเลยนางมาลีบุตรขุนภิรมย์พานิชขอโอนสิทธิการเช่าทางมรดก แล้วต่อมาได้โอนขายสิทธิการเช่าที่ดินพิพาทให้โจทก์เพื่อขับไล่จำเลย โจทก์ไม่เคยครอบครองที่ดินพิพาท ไม่มีอำนาจฟ้องค่าเสียหายไม่เป็นความจริง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเรียกสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เข้ามาเป็นโจทก์ร่วมโจทก์ร่วมอ้างว่าที่ดินพิพาทอยู่ในความดูแลรักษาและจัดหาผลประโยชน์ตามกฎหมายของโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมไม่ประสงค์ให้จำเลยอยู่ในที่ดินของโจทก์ร่วมขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารพร้อมทั้งรื้อบ้านออกไปด้วย
จำเลยให้การแก้ฟ้องของโจทก์ร่วมว่า โจทก์ร่วมไม่ได้ถูกโต้แย้งสิทธิเมื่อขุนภิรมย์พานิช ผู้เช่าที่ดินพิพาทเดิมถึงแก่กรรม ตามระเบียบของโจทก์ร่วม จำเลยซึ่งเป็นผู้ครอบครองที่ดินเป็นผู้เช่าโดยตรงที่ทำสัญญากับโจทก์ร่วม แต่นางมาลีกลับโอนการเช่าไปให้โจทก์ โจทก์ไม่เคยซื้อบ้านของจำเลยและนางมาลีไม่มีสิทธิที่จะนำบ้านของจำเลยไปขาย
ในวันนัดชี้สองสถาน จำเลยแถลงรับว่าบ้านของจำเลยปลูกอยู่ในที่ดินพิพาทซึ่งโจทก์เช่ามาจากโจทก์ร่วม และบ้านของจำเลยเป็นบ้านคนละหลังกับบ้านที่โจทก์ซื้อมาจากผู้เช่าเดิม ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นพิพาทเพียง 2 ประเด็นคือ 1. อำนาจฟ้อง 2. ค่าเสียหาย สำหรับประเด็นข้อ 1 ศาลชั้นต้นเห็นว่าข้อเท็จจริงพอที่จะวินิจฉัยได้ ไม่จำต้องสืบพยาน โจทก์และโจทก์ร่วมแถลงไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลย ศาลชั้นต้นให้นัดฟังคำพิพากษาและจะวินิจฉัยคำร้องของจำเลยที่ขอให้ศาลชี้ขาดเบื้องต้นเกี่ยวกับอำนาจฟ้องของโจทก์และการเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมไปในคราวเดียวกัน
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า แม้โจทก์ผู้เช่าที่ดินพิพาทจะไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย แต่เมื่อโจทก์ขอให้ศาลเรียกโจทก์ร่วมผู้ให้เช่าที่ดินพิพาทเข้ามาเป็นโจทก์ร่วม เป็นผลให้อำนาจฟ้องของโจทก์บริบูรณ์ มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท พิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบ้านขนย้ายออกไปจากที่ดินที่โจทก์เช่า ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยผู้อาศัยออกจากที่ดินพิพาทจำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ ในคำฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่าที่ดินพิพาทอาจให้เช่าได้ในอัตราเดือนละเท่าใด แต่ปรากฏในคำให้การจำเลยว่าอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 50 บาท ซึ่งไม่มีการโต้แย้งเป็นอย่างอื่น จึงถือได้ตามคำให้การจำเลยว่าอัตราค่าเช่าเดือนละ 50 บาท ดังนั้น จำเลยจึงฎีกาได้แต่เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมาย ส่วนปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224
จำเลยฎีกาว่าจำเลยอยู่อาศัยในที่ดินพิพาทกว่า 40 ปีมีสิทธิขอเช่าที่ดินพิพาทจากโจทก์ร่วมได้ เพราะตามระเบียบของโจทก์ร่วมจะต้องให้จำเลยเช่าที่ดินพิพาทโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง และที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ส่งสำเนาคำฟ้องแต่มิได้ส่งสำเนาคำร้อง ขอให้เรียกโจทก์ร่วมเข้ามาในคดีเป็นการไม่ชอบนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ยังมิได้ครอบครองที่ดินพิพาทและโจทก์ร่วมยังมิได้ถูกโต้แย้งสิทธิ ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้นั้น เห็นว่าการที่โจทก์เช่าที่ดินพิพาทจากโจทก์ร่วมแต่เข้าครอบครองใช้ประโยชน์ไม่ได้เพราะมีบ้านจำเลยปลูกอยู่ โจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาหาประโยชน์ในที่ดินพิพาทและมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยผู้มีฐานะเพียงผู้อาศัยสิทธิผู้เช่าที่ดินพิพาทเดิมปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่ดินพิพาทโจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทโดยขอให้ศาลเรียกโจทก์ร่วมผู้ให้เช่าเข้าเป็นโจทก์ร่วมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 549 ประกอบด้วยมาตรา 477 ที่ศาลล่างทั้งสองงดสืบพยานและพิพากษาขับไล่จำเลยชอบแล้วฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน