คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 752/2560

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้คำสั่งของโจทก์ที่ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยจะเป็นอำนาจเด็ดขาดของโจทก์ แต่ก็มีผลผูกพันจำเลยเฉพาะผลคำวินิจฉัยที่ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลย เนื่องมาจากโจทก์เห็นว่ามีหลักฐานอันควรเชื่อว่าจำเลยกระทำการฝ่าฝืนมาตรา 57 แห่ง พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 และมีผลเฉพาะหน้าในขณะนั้น ซึ่งเป็นการปฏิบัติไปตามอำนาจหน้าที่ของโจทก์เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ส่วนการฟ้องคดีนี้เป็นการฟ้องจำเลยซึ่งเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งให้ต้องรับผิดในค่าเสียหายทางแพ่ง อันเกิดจากการจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ตามมาตรา 99 วรรคหนึ่ง ที่มีเหตุมาจากการที่จำเลยฝ่าฝืนมาตรา 57 จนเป็นเหตุให้โจทก์มีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งและให้มีการเลือกตั้งใหม่ตามมาตรา 96 เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธความรับผิดและต่อสู้ว่าจำเลยไม่ได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้บุคคลอื่นให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้ลงคะแนนเลือกตั้งให้จำเลยตามฟ้อง คดีจึงมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำการฝ่าฝืนมาตรา 57 จนเป็นเหตุให้ต้องมีการเลือกตั้งใหม่หรือไม่ มาตรา 99 วรรคหนึ่ง จึงมิใช่บทบัญญัติให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งต้องรับผิดโดยเด็ดขาด
การฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ ไม่จำเป็นต้องอาศัยมูลความผิดทางอาญา แม้ศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ที่ให้ยกฟ้องในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดตามมาตรา 57 ดังที่จำเลยอ้าง การวินิจฉัยคดีนี้ก็ไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาในคดีอาญา อย่างไรก็ตาม พยานที่โจทก์นำมาสืบไม่มีผู้ใดรู้เห็นว่าจำเลยกระทำการอย่างไรอันจะเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 57 จึงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำการเช่นนั้น เมื่อการจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ไม่ได้เกิดจากการที่จำเลยกระทำการฝ่าฝืนมาตรา 57 จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายตามฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 413,916.40 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 405,745.90 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้ศาลชั้นต้นสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 413,916.40 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 17 กันยายน 2553) ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์ 5,000 บาท แทนโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในชั้นนี้ว่า เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2551 มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุพรรณบุรี จำเลยซึ่งสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุพรรณบุรี อำเภอดอนเจดีย์ เขตเลือกตั้งที่ 1 ได้รับเลือกตั้ง แต่มีผู้ร้องเรียนว่าจำเลยกระทำการฝ่าฝืนมาตรา 57 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 ก่อนประกาศผลการเลือกตั้ง โจทก์มีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลย และให้มีการเลือกตั้งใหม่ โดยให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายในการจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ และได้มีการจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่แล้วโดยเสียค่าใช้จ่ายในการนี้ 405,745.90 บาท โจทก์ทวงถามจำเลยให้ชำระค่าเสียหายเป็นเงินจำนวนดังกล่าว จำเลยเพิกเฉย
ที่จำเลยฎีกาว่า การที่โจทก์มีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยโดยมีมติด้วยคะแนนเสียงไม่เป็นเอกฉันท์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับอำนาจฟ้องซึ่งเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ขอให้ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยนั้น เห็นว่า เมื่อจำเลยฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ที่ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและให้พิพากษาใหม่ จำเลยได้ยกปัญหานี้ขึ้นฎีกาด้วย แต่ศาลฎีกาไม่เห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยโดยให้เหตุผลไว้ชัดเจนแล้ว ในชั้นนี้ศาลฎีกาไม่เห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยเช่นกัน
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่หรือไม่ ที่จำเลยฎีกาว่า แม้โจทก์มีคำสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยแล้ว แต่ในการฟ้องคดีนี้โจทก์ยังคงต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าจำเลยกระทำการฝ่าฝืนมาตรา 57 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 และโจทก์แก้ฎีกาว่า การที่โจทก์มีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยเป็นการใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ คำสั่งดังกล่าวจึงเป็นที่สุด และมาตรา 99 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 เป็นบทบังคับให้ผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งต้องรับผิดในค่าเสียหายตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดแต่ไม่เกินค่าใช้จ่ายในการจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่นั้น เห็นว่า แม้คำสั่งของโจทก์ที่ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยจะเป็นอำนาจเด็ดขาดของโจทก์ แต่ก็มีผลผูกพันจำเลยเฉพาะผลคำวินิจฉัยที่ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลย เนื่องมาจากโจทก์เห็นว่ามีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าจำเลยกระทำการฝ่าฝืนมาตรา 57 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 และมีผลเฉพาะหน้าในขณะนั้น ซึ่งเป็นการปฏิบัติไปตามอำนาจหน้าที่ของโจทก์เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ส่วนการฟ้องคดีนี้เป็นการฟ้องจำเลยซึ่งเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งให้ต้องรับผิดในค่าเสียหายทางแพ่ง อันเกิดจากการจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ตามมาตรา 99 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 ที่มีเหตุมาจากการที่จำเลยฝ่าฝืนมาตรา 57 จนเป็นเหตุให้โจทก์มีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งและให้มีการเลือกตั้งใหม่ตามมาตรา 96 เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธความรับผิดและต่อสู้ว่าจำเลยไม่ได้ก่อ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจให้บุคคลอื่นให้เงินแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เพื่อจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้ลงคะแนนเลือกตั้งให้จำเลยตามฟ้อง คดีจึงมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำการฝ่าฝืนมาตรา 57 จนเป็นเหตุให้ต้องมีการเลือกตั้งใหม่หรือไม่ มาตรา 99 วรรคหนึ่ง จึงมิใช่บทบัญญัติให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งต้องรับผิดโดยเด็ดขาด ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาสืบให้รับฟังได้ว่า จำเลยกระทำการฝ่าฝืน มาตรา 57 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 ประกอบกับศาลฎีกามีคำพิพากษายกฟ้องในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2545 มาตรา 57 แล้ว และโจทก์แก้ฎีกาว่า คดีนี้ไม่ใช่คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ศาลจึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาในคดีอาญานั้น เห็นว่า คดีนี้เป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งไม่จำต้องอาศัยมูลความผิดทางอาญา แม้ศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ที่ให้ยกฟ้องในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดตามมาตรา 57 ดังที่จำเลยอ้าง การวินิจฉัยคดีนี้ก็ไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาในคดีอาญา อย่างไรก็ตาม พยานที่โจทก์นำมาสืบไม่มีผู้ใดรู้เห็นว่าจำเลยกระทำการอย่างไรอันจะเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 57 จึงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำการเช่นนั้น เมื่อการจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ไม่ได้เกิดจากการที่จำเลยกระทำการฝ่าฝืนมาตรา 57 จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายตามฟ้อง คดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยข้ออื่นอีกต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share