แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินข้อ 5 ระบุว่า “ทั้งสองได้ทำหนังสือสัญญากันเรียบร้อยแล้ว มีกำหนดเวลาปี 2537 พร้อมดอกเบี้ยไม่มี” จึงเห็นได้ว่ามิได้กำหนดวันและเดือนที่จะไปโอนที่ดินพิพาทไว้ในสัญญา เมื่อปรากฏว่าโจทก์จำเลยต่างได้ทวงถามให้อีกฝ่ายหนึ่งไปทำการโอนและรับโอนที่ดินพิพาทหลายครั้ง จึงยังถือไม่ได้ว่าโจทก์และจำเลยต่างสมัครใจเลิกสัญญาโดยปริยายแต่ยังคงติดใจที่จะปฏิบัติตามสัญญาต่อกันต่อไปโดยมิได้มีเจตนาถือเอา กำหนดเวลาตามสัญญาเป็นสาระสำคัญ การที่โจทก์ให้ ม. ไปบอกจำเลยให้ไปรับโอนที่ดินในวันรุ่งขึ้น ถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้กำหนดระยะเวลา พอสมควรแล้วบอกกล่าวให้จำเลยชำระเงินค่าที่ดินพิพาทที่เหลือตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387 โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิ บอกเลิกสัญญา ส่วนจำเลยได้กำหนดให้โจทก์โอนที่ดินพิพาทภายใน 30 วัน นับแต่วันได้รับหนังสือบอกกล่าวถือเป็นกำหนดระยะเวลา พอสมควรแล้ว เมื่อโจทก์ได้รับหนังสือบอกกล่าวแต่โจทก์ไม่ปฏิบัติ ตามสัญญา โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2535 จำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินตามโฉนดเลขที่ 15768 ตำบลบ้านกร่าง อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลกเนื้อที่ 75 ตารางวา ในราคา 46,000 บาท จากโจทก์ จำเลยวางมัดจำให้แก่โจทก์แล้ว 26,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 20,000 บาท ตกลงชำระภายในปี 2537หากจำเลยไม่ไปรับโอนที่ดินให้ถือว่าสัญญาเป็นอันยกเลิก เมื่อครบกำหนดจำเลยผิดนัดไม่ชำระเงินส่วนที่เหลือให้แก่โจทก์ โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยชำระเงินและไปรับโอนที่ดินจากโจทก์หลายครั้งแต่จำเลยเพิกเฉย โจทก์จึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญาและริบเงินมัดจำและให้ออกจากที่ดินไปยังจำเลยแต่จำเลยเพิกเฉยไม่รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและไม่ออกไปจากที่ดิน ทำให้โจทก์เสียหาย ที่ดินดังกล่าวหากให้เช่าจะได้ค่าเช่าเดือนละ 1,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 15768 ตำบลบ้านกร่างอำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก ให้จำเลยชำระค่าเสียหายเป็นเงินเดือนละ1,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและออกจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์และจำเลยตกลงจะซื้อขายที่ดินพิพาทในราคา 40,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2532 จำเลยชำระค่าที่ดินแล้ว 26,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 14,000 บาท จะชำระในวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ ซึ่งโจทก์ขอเวลา 1 ปี เพื่อไถ่ถอนจำนองที่ดินจากธนาคารก่อน โดยโจทก์ยินยอมให้จำเลยเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินได้ทันที ต่อมาวันที่ 21 ธันวาคม 2533 โจทก์ผัดผ่อนการโอนที่ดินไปอีก1 ปี เนื่องจากยังไม่ได้ไถ่ถอนจำนองและขอเงินเพิ่มอีก 6,000 บาท ซึ่งจำเลยตกลงยินยอม วันที่ 3 กรกฎาคม 2535 โจทก์ขอผัดผ่อนการโอนเป็นภายในปี 2537 และได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายขึ้นอีก 1 ฉบับ จนครบปี 2537 โจทก์ขอผัดผ่อนอีก กระทั่งวันที่ 19 เมษายน 2538 จำเลยทราบว่าโจทก์ไถ่ถอนจำนองที่ดินจากธนาคารแล้ว จึงติดต่อทวงถามให้โจทก์โอนที่ดินให้แก่จำเลยแต่โจทก์ขอเพิ่มเงินค่าที่ดินอีก จำเลยไม่ยินยอมจึงมีหนังสือบอกกล่าวไปยังโจทก์ให้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่จำเลยภายใน 30 วัน โจทก์เพิกเฉยขอให้ยกฟ้องโจทก์และบังคับโจทก์จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 15768 ตำบลบ้านกร่าง อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลกให้แก่จำเลยโดยให้โจทก์ออกค่าธรรมเนียมและภาษีในการโอนหากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์แล้วจึงให้โจทก์รับเงิน 20,000 บาท ไปจากจำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่เคยผัดผ่อนการโอนที่ดินสัญญาซื้อขายฉบับปี 2533 จำเลยทำกับนางแห เขียวหอม ภริยาโจทก์โดยโจทก์ไม่ทราบ ต่อมาปี 2535 โจทก์ทราบจึงมีการทำสัญญากันใหม่ขณะนั้นจำเลยไม่มีเงินชำระให้แก่โจทก์จึงทำสัญญาว่าจะชำระค่าที่ดินภายใน 2537 แต่จำเลยก็ไม่ชำระ โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาซื้อขายดังกล่าวขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 15768 ตำบลบ้านกร่าง อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลกคำขออื่นของโจทก์ให้ยก และให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุอันควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษากลับว่า ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์รับเงิน20,000 บาท จากจำเลยแล้วจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่15768 ตำบลบ้านกร่าง อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก ให้แก่จำเลย คำขออื่นในฟ้องแย้งให้ยก หากโจทก์ไม่ดำเนินการโอนให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของโจทก์
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาหรือไม่ ตามสัญญาจะซื้อขายเอกสารหมาย จ.2 ข้อ 5ระบุว่า “ทั้งสองได้ตกลงทำหนังสือสัญญากันเรียบร้อยแล้ว มีกำหนดเวลาปี2537 พร้อมดอกเบี้ยไม่มี” จึงเห็นได้ว่า มิได้กำหนดวันและเดือนที่จะไปโอนที่ดินพิพาทไว้ในสัญญาซึ่งจากคำเบิกความของจำเลยได้ความว่า ในปลายปี2537 จำเลยมีเงินจำนวน 20,000 บาท เพื่อชำระให้แก่โจทก์ แต่ขณะนั้นที่ดินพิพาทยังติดจำนองอยู่จึงไม่ได้นำเงินไปชำระให้แก่โจทก์ จำเลยเคยไปที่บ้านนางบังอรภริยาโจทก์อีกคนหนึ่งทวงถามให้โจทก์โอนที่ดินพิพาทหลายครั้งโดยจำเลยมีนายสละ จีนด้วง ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 7 เบิกความเป็นพยานสนับสนุนว่า ปี 2537 จำเลยไปหาพยานเรียกโจทก์ไปโอนที่ดินพิพาท ถ้าโอนไม่ได้ก็ต่อสัญญา พยานเรียกโจทก์มาพบ แต่โจทก์ไม่มาพบโดยขอผัดผ่อน 3 ครั้งหลังจากนั้นพยานจึงแนะนำจำเลยให้ไปฟ้องร้องกันเองและจากทางนำสืบของโจทก์ได้ความว่า หลังจากโจทก์ไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทแล้ว วันที่ 17พฤษภาคม 2538 โจทก์ให้นายแมะ หุ่นทอง ไปบอกจำเลยว่าให้จำเลยไปรับโอนที่ดินพิพาทในวันที่ 18 พฤษภาคม 2538 ดังนี้จากพฤติการณ์ตามที่ได้ความดังกล่าวประกอบกับจำเลยยังมีหนังสือบอกกล่าวตามเอกสารหมาย ล.3 ให้โจทก์โอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือบอกกล่าวยังถือไม่ได้ว่าโจทก์และจำเลยต่างสมัครใจเลิกสัญญาโดยปริยายตามที่โจทก์ฎีกา โจทก์และจำเลยยังคงติดใจที่จะปฏิบัติตามสัญญาต่อกันต่อไปโดยมิได้มีเจตนาถือเอากำหนดเวลาตามสัญญาจะซื้อขาย เอกสารหมาย จ.2 เป็นสาระสำคัญ การที่โจทก์ให้นายแมะไปบอกจำเลยให้ไปรับโอนที่ดินในวันรุ่งขึ้น จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้กำหนดระยะเวลาพอสมควรแล้วบอกกล่าวให้จำเลยชำระเงินค่าที่ดินพิพาทที่เหลือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387 ดังนั้น โจทก์ยังไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาจะซื้อขายแก่จำเลย ส่วนจำเลยได้กำหนดระยะเวลาพอสมควรให้โจทก์โอนที่ดินพิพาทตามหนังสือบอกกล่าวเอกสารหมาย ล.3ซึ่งโจทก์ได้รับหนังสือบอกกล่าวแล้ว แต่โจทก์ไม่ปฏิบัติตามสัญญา โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาบังคับให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษากลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแต่สั่งค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับโดยไม่ระบุชั้นศาล ซึ่งไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ