แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้มีส่วนได้เสียในการที่ทรัพย์สินถูกเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยึดไปนั้น ต้องยื่นคำคัดค้านต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพื่อให้มีคำสั่งเสียชั้นหนึ่งก่อน จึงจะมีสิทธิเสนอคดียื่นคำร้องขอต่อศาลได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นนิติบุคคลซึ่งถูกศาลสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลาย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้มีคำสั่งยึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ 1 แปลง ซึ่งโจทก์ทั้งสี่เป็นผู้มีสิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายและได้ยกที่ดินดังกล่าวให้จำเลยไว้ใช้เพื่อทำประโยชน์ในการดำเนินกิจการของจำเลยเกี่ยวกับการตั้งโรงบ่มใบยาและเพาะกล้ายาสูบ เมื่อจำเลยยกเลิกโครงการตั้งโรงบ่มใบยาโจทก์ทั้งสี่มีสิทธิขอคืนที่ดินดังกล่าว ซึ่งโจทก์ทั้งสี่ได้ขอที่ดินที่ยกให้ดังกล่าวคืนจากจำเลยตามส่วนแต่ละคนที่ได้ตกลงสัญญากันไว้ก่อนถูกยึด ขอให้พิพากษาว่าโจทก์ทั้งสี่มีสิทธิครอบครองในที่ดินตามส่วนของโจทก์แต่ละคนที่ตกลงสัญญากันไว้ และให้จำเลยถอนการยึดที่ดินและแบ่งแยกที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสี่ตามส่วนแต่ละคน
จำเลยให้การว่า ที่ดินตามฟ้องไม่ใช่ทรัพย์สินของโจทก์ทั้งสี่แต่เป็นทรัพย์สินของลูกหนี้ (จำเลย) ในคดีล้มละลาย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงมีอำนาจยึดและนำมาขายทอดตลาดแบ่งเฉลี่ยให้แก่เจ้าหนี้ได้ หากโจทก์ทั้งสี่เห็นว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีสิทธิยึดทรัพย์สินดังกล่าว โจทก์ทั้งสี่ก็ชอบที่จะยื่นคำร้องคัดค้านต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ถ้าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สั่งไม่ให้ถอนการยึด โจทก์ทั้งสี่จึงจะมีสิทธิยื่นคำร้องคัดค้านต่อศาลได้ภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 158 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 การที่โจทก์ทั้งสี่ได้ยื่นฟ้องเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ต่อศาลชั้นต้นเลยทีเดียวเช่นนี้จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาข้ามขั้นตอนของกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สภาพแห่งข้อหาของโจทก์ทั้งสี่พออนุมานได้ว่า โจทก์ทั้งสี่ฟ้องขอให้บังคับให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของกลุ่มเกษตรกรทำนาเหล่ายาว ผู้ล้มละลาย ถอนการยึดที่ดินที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยึดไว้ในคดีล้มละลายดังกล่าวบางส่วนโดยอ้างว่าที่ดินส่วนที่ขอให้ถอนการยึดดังกล่าวเป็นของโจทก์ทั้งสี่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีสิทธิยึดไว้ในคดีล้มละลาย เห็นว่าตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 158 บัญญัติว่า “ผู้มีส่วนได้เสียคนใดเห็นว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีสิทธิยึดทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใด ให้คัดค้านต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้รับคำคัดค้านแล้วให้สอบสวนและมีคำสั่ง ถ้าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สั่งไม่ให้ถอนการยึด ผู้นั้นมีสิทธิยื่นคำร้องขอต่อศาลภายในกำหนดเวลาสิบสี่วัน นับแต่วันได้ทราบคำสั่งนั้น เมื่อศาลได้รับคำร้องขอไว้แล้วให้ศาลพิจารณาและมีคำสั่งชี้ขาดเหมือนอย่างคดีธรรมดา โดยเรียกเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้ามาสู้คดี” จากบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ผู้มีส่วนได้เสียใดจะคัดค้านการยึดทรัพย์ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะต้องยื่นคำคัดค้านต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพื่อมีคำสั่งก่อน ถ้าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สั่งไม่ให้ถอนการยึดจึงจะมีสิทธิร้องขอต่อศาลได้ คดีนี้โจทก์ทั้งสี่เสนอคดีต่อศาลคัดค้านการยึดที่ดินพิพาทของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งสี่ได้มีการยื่นคัดค้านต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพื่อให้มีคำสั่งตามขั้นตอนที่กฎหมายลำดับไว้ก่อนไม่ชอบที่ศาลจะรับไว้พิจารณาพิพากษา ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสี่ชอบแล้ว
พิพากษายืน