คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 750/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์จำเลยตกลงกันให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยประเด็นที่ว่าโจทก์หรือจำเลยสมควรเป็นผู้ปกครองบุตรทั้งสองกับประเด็นเรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดู โดยไม่ต้องมีการสืบพยานกันต่อไป โดยโจทก์จำเลยแถลงเรื่องฐานะและรายได้ต่อศาลเพื่อประกอบการวินิจฉัยดังนี้ เท่ากับคู่ความตกลงกันให้ศาลชั้นต้นชี้ขาดในประเด็นที่กล่าวมาแล้ว เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดไปตามประเด็นที่ตกลงกันโดยพิจารณาตามเหตุผลที่เห็นว่าสมควรและเหมาะสม และไม่ปรากฏว่าคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นขัดต่อกฎหมายหรือขัดต่อเหตุผลอย่างไรแล้ว ก็ต้องบังคับคดีไปตามคำวินิจฉัยชี้ขาดดังกล่าว จำเลยจะโต้เถียงว่าตนเป็นผู้สมควรจะปกครองบุตรมากกว่าโจทก์หาได้ไม่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภรรยากัน กับให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรทั้งสองโดยให้จำเลยส่งเงินเป็นค่าเลี้ยงดูบุตรทั้งสองเดือนละ 1,000 บาท จนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะหรือจบการศึกษาระดับปริญญาตรี
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์เองเป็นฝ่ายหาเรื่องทะเลาะวิวาทและทิ้งร้างจำเลย ไม่มีเหตุที่จะฟ้องหย่าได้ ขอให้ยกฟ้อง และพิพากษาให้จำเลยเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรทั้งสอง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยเคยช่วยเหลือการค้าในบ้านบิดามารดาโจทก์และยักยอกเงินที่จำหน่ายสินค้าจนถูกจับได้ จำเลยละอายจึงพาลหาเรื่องทะเลาะวิวาททำร้ายโจทก์และพาบุตรโจทก์ไปอยู่ด้วย ทั้งห้ามโจทก์ไปเยี่ยมและพบบุตร เป็นการทรมานจิตใจบุตรอย่างร้ายแรง ฟ้องแย้งไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ในวันชี้สองสถาน โจทก์จำเลยแถลงว่า ยินยอมหย่ากันโดยไม่สืบพยาน และขอให้ศาลวินิจฉัยว่าบุตรทั้งสองควรอยู่กับใคร และกำหนดค่าอุปการะเลี้ยงดูให้ โดยต่างฝ่ายต่างแถลงเรื่องรายได้ของตนเพื่อประกอบการวินิจฉัย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่ากันหากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ให้โจทก์เป็นผู้ปกครองเด็กหญิงสุพรรณิการ์ บัวรักสกุล โดยให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กหญิงสุพรรณิการ์เดือนละ 1,000 บาท นับแต่มีคำพิพากษาเป็นต้นไป จนกว่าเด็กหญิงสุพรรณิการ์จะบรรลุนิติภาวะให้จำเลยเป็นผู้ปกครองเด็กชายเมธา บัวรักสกุล คำขออื่นของจำเลยให้ยกเสีย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อโจทก์จำเลยตกลงกันให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยประเด็นที่ว่า โจทก์หรือจำเลยสมควรเป็นผู้ปกครองบุตรทั้งสองกับประเด็นเรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดู โดยไม่ต้องมีการสืบพยานกันต่อไป โดยคู่ความแถลงเรื่องฐานะและรายได้ต่อศาลเพื่อประกอบการวินิจฉัย ดังนี้ เท่ากับคู่ความตกลงกันให้ศาลชั้นต้นชี้ขาดในประเด็นที่กล่าวมาแล้ว เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดไปตามประเด็นที่ตกลงกันโดยพิจารณาตามเหตุผลที่เห็นว่าสมควรและเหมาะสม และไม่ปรากฏว่าคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นขัดต่อกฎหมายหรือขัดต่อเหตุผลอย่างไรแล้ว ก็ต้องบังคับคดีไปตามคำวินิจฉัยชี้ขาดดังกล่าว จำเลยจะโต้เถียงว่าตนเป็นผู้สมควรจะปกครองบุตรมากกว่าโจทก์หาได้ไม่
พิพากษายืน.

Share