คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 424/2559

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความผิดฐานลักลอบนำน้ำมันซึ่งมิได้เสียภาษีและผ่านศุลกากรโดยถูกต้องตามกฎหมาย เข้ามาในราชอาณาจักร โดยหลีกเลี่ยงการเสียภาษีศุลกากร และโดยเจตนาจะฉ้อค่าภาษีอากรขาเข้า กับความผิดฐานซื้อ รับจำนำ ช่วยพาเอาไปเสีย ช่วยจำหน่าย ช่วยซ่อนเร้น หรือรับไว้ในครอบครอง ซึ่งน้ำมันที่ยังมิได้เสียภาษีโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของที่มีผู้ลักลอบนำพาหลบหนีศุลกากร เข้ามาในราชอาณาจักร โดยหลีกเลี่ยงอากรที่ต้องเสีย เป็นคนละความผิดกัน เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ซื้อน้ำมันของกลางที่ยังมิได้เสียภาษีโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของที่มีผู้ลักลอบนำพาหลบหนีศุลกากรเข้ามาในราชอาณาจักร จึงไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานนำเข้าซึ่งสินค้าน้ำมันเชื้อเพลิงที่มิได้เสียภาษี ตาม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 มาตรา 147 (2) ได้ และโจทก์บรรยายฟ้องความผิดฐานขายหรือมีไว้เพื่อขายสินค้าน้ำมันเชื้อเพลิง โดยรู้ว่าเป็นสินค้าที่มิได้เสียภาษี และความผิดฐานรับซื้อของน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งรู้ว่าเป็นของนำเข้ามาในราชอาณาจักร โดยหลีกเลี่ยงอากรรวมมาในข้อเดียวกัน แสดงว่าโจทก์ประสงค์ลงโทษเป็นกรรมเดียว ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยที่ 2 เป็นสองกรรมจึงไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 215 และ 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 27, 27 ทวิ พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 มาตรา 147, 162 พระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2543 มาตรา 11, 30, 56 พระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ. 2489 มาตรา 4, 5, 6, 7, 8, 9 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 86, 91 ขอให้ริบน้ำมันเบนซิน ปริมาตร 15,000 ลิตร ของกลาง หรือเงิน 271,092.80 บาท ที่ได้จากการขายน้ำมันเบนซินดังกล่าว และให้สั่งจ่ายเงินสินบนนำจับและจ่ายเงินรางวัลแก่เจ้าพนักงานผู้จับตามกฎหมาย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 27 ทวิ พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 มาตรา 147 (2), 162 (1) พระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2543 มาตรา 30 วรรคหนึ่ง, 56 วรรคสาม การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานรับซื้อของ (น้ำมันเชื้อเพลิง) ซึ่งของอันตนรู้ว่าเป็นของที่นำเข้าในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากร ปรับ 1,380,600 บาท ฐานนำเข้าซึ่งสินค้า (น้ำมันเชื้อเพลิง) ที่มิได้เสียภาษี ปรับ 750 บาท ฐานขายหรือมีไว้เพื่อขายซึ่งสินค้า (น้ำมันเชื้อเพลิง) โดยรู้ว่าเป็นสินค้าที่มิได้เสียภาษี ปรับ 750 บาท และฐานเป็นผู้ค้าน้ำมันทำการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงไม่เป็นไปตามวิธีการและเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด ปรับ 30,000 บาท รวมเป็นเงิน 1,412,100 บาท ทางนำสืบของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับ 941,400 บาท หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 โดยให้กักขังเกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี ข้อหาอื่นสำหรับจำเลยที่ 2 ให้ยก ให้จ่ายสินบนนำจับแก่ผู้นำจับร้อยละสามสิบและให้จ่ายเงินรางวัลแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้จับกุมร้อยละยี่สิบห้าจากเงินที่ได้จากการขายของกลางเมื่อคดีถึงที่สุด ทั้งนี้ตามพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ.2489 มาตรา 7 วรรคหนึ่ง, 8 วรรคหนึ่ง ส่วนเงินที่ได้จากการขายของกลางที่เหลือหลังจากจ่ายเงินสินบนและรางวัลแล้วให้ริบ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ส่วนคำขออื่นให้ยก
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ความผิดฐานรับซื้อของ (น้ำมันเชื้อเพลิง) ซึ่งของอันตนรู้ว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากร และความผิดฐานนำเข้าซึ่งสินค้า (น้ำมันเชื้อเพลิง) ที่มิได้เสียภาษี ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นโดยให้ลงโทษปรับจำเลยที่ 2 เป็นเงิน 1,380,600 บาท และ 750 บาท ตามลำดับ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ส่วนความผิดฐานเป็นผู้ค้าน้ำมันทำการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงไม่เป็นไปตามวิธีการและเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด ศาลชั้นต้นลงโทษปรับ 30,000 บาท ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ยังคงลงโทษจำเลยที่ 2 ไม่เกินกำหนดดังกล่าว จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า น้ำมันของกลางเป็นน้ำมันที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยชอบด้วยกฎหมายและจำเลยที่ 2 เชื่อโดยสุจริตว่าน้ำมันของกลางเป็นน้ำมันที่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังข้อเท็จจริงของศาลอุทธรณ์ภาค 8 อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนความผิดฐานขายหรือมีไว้เพื่อขายซึ่งสินค้า (น้ำมันเชื้อเพลิง) โดยรู้ว่าเป็นสินค้าที่มิได้เสียภาษี ซึ่งมีอัตราโทษอย่างสูงตามที่กฎหมายกำหนดไว้ให้จำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เมื่อศาลชั้นต้นลงโทษปรับจำเลยที่ 2 เป็นเงิน 750 บาท จึงต้องห้ามมิให้จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ว่า น้ำมันของกลางไม่ได้เป็นน้ำมันที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร จำเลยที่ 2 ซื้อน้ำมันของกลางจากห้างหุ้นส่วนจำกัด ป.นวธนภิญโญ โดยเชื่อโดยสุจริตว่าน้ำมันของกลางเป็นน้ำมันที่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานดังกล่าวจึงเป็นการไม่ชอบ และเป็นข้อที่จำเลยที่ 2 ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 8 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่โจทก์ยื่นฟ้อง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเช่นกัน
อนึ่ง คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้ลักลอบนำพาน้ำมันซึ่งเป็นของที่ยังมิได้เสียภาษีและยังมิได้ผ่านศุลกากรโดยถูกต้องตามกฎหมายจากต่างประเทศเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงการเสียภาษีศุลกากรและโดยเจตนาจะฉ้อค่าภาษีอากรขาเข้าสำหรับสิ่งของสินค้าดังกล่าว หรือมิฉะนั้นจำเลยที่ 2 ซื้อ รับจำนำ ช่วยพาเอาไปเสีย ช่วยจำหน่าย ช่วยซ่อนเร้น หรือรับไว้ในครอบครองโดยประการใด ซึ่งน้ำมันของกลางที่ยังมิได้เสียภาษีโดยจำเลยที่ 2 รู้อยู่แล้วว่าเป็นของที่มีผู้ลักลอบนำพาหลบหนีศุลกากรจากต่างประเทศเข้ามาในราชอาณาจักร โดยหลีกเลี่ยงอากรที่จะต้องเสียสำหรับของนั้น แสดงว่าโจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ในข้อหาใดข้อหาหนึ่ง เพียงข้อหาเดียวเพราะความผิดทั้งสองข้อหาดังกล่าวเป็นคนละความผิดกันจะลงโทษจำเลยที่ 2 ในทั้งสองข้อหาดังกล่าวย่อมไม่ได้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ซื้อน้ำมันของกลางที่ยังมิได้เสียภาษีโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของที่มีผู้ลักลอบนำพาหลบหนีศุลกากรจากต่างประเทศเข้ามาในราชอาณาจักร โดยหลีกเลี่ยงอากรที่จะต้องเสียสำหรับของนั้น จึงไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานนำเข้าซึ่งสินค้า (น้ำมันเชื้อเพลิง)ที่มิได้เสียภาษี ตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 มาตรา 147 (2) ได้ และโจทก์ยังบรรยายฟ้องความผิดฐานขายหรือมีไว้เพื่อขายซึ่งสินค้า (น้ำมันเชื้อเพลิง) โดยรู้ว่าเป็นสินค้าที่มิได้เสียภาษี และความผิดฐานรับซื้อของ (น้ำมันเชื้อเพลิง) ซึ่งของอันตนรู้ว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากร รวมกันมาในข้อเดียวกัน แสดงว่าโจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษเป็นกรรมเดียว ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานดังกล่าวเป็นสองกรรมนั้น จึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 215 และ 225
พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานรับซื้อของ (น้ำมันเชื้อเพลิง) ซึ่งของอันตนรู้ว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากร และความผิดฐานขายหรือมีไว้เพื่อขายซึ่งสินค้า (น้ำมันเชื้อเพลิง) โดยรู้ว่าเป็นสินค้าที่มิได้เสียภาษี เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานรับซื้อของ (น้ำมันเชื้อเพลิง) ซึ่งของอันตนรู้ว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากร ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 27 ทวิ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90ปรับ 1,380,600 บาท ยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานนำเข้าซึ่งสินค้า (น้ำมันเชื้อเพลิง) ที่มิได้เสียภาษี ตามพระราชบัญญัติสรรพสามิต พ.ศ.2527 มาตรา 147 (2) รวมปรับจำเลยที่ 2 เป็นเงิน 1,410,600 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ยกฎีกาของจำเลยที่ 2

Share