แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่าในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุเดียวกัน จำเลยเป็นทั้งคนร้ายที่เป็นตัวการร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิ ใช้เอกสารสิทธิปลอมและฉ้อโกงเอาเงินจากบัญชีเงินฝากของโจทก์ร่วม แล้วจำเลยยังกระทำความผิดฐานรับของโจรในวันเวลาเดียวกัน โดยจำเลยรับของโจรเงินที่จำเลยร่วมกันฉ้อโกงมาได้ ซึ่งองค์ประกอบความผิดฐานรับของโจรเป็นความผิดอันเกิดจากการช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใด ซึ่งทรัพย์อันได้มาจากการที่ผู้อื่นกระทำความผิดอันเกี่ยวกับทรัพย์ หาได้เป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงของจำเลยเอง ฟ้องของโจทก์ในความผิดสองฐานดังกล่าวจึงเป็นฟ้องที่ขัดแย้งกันเอง อันเป็นฟ้องเคลือบคลุม ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 264, 265, 268, 341, 357 และให้จำเลยคืนหรือชดใช้เงิน 1,217,999.99 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา ห้างหุ้นส่วนจำกัด ใต้เซ้งซัน ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก ประกอบมาตรา 86 จำคุก 2 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 1,217,999.99 บาท แก่โจทก์ร่วม ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ โจทก์ร่วม และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ร่วมและจำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาว่าจำเลยมีความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงและฐานรับของโจรในกรณีที่จำเลยเปิดบัญชีร่วมกับนางสาววาสนาและนางสาววาสนาโอนเงินที่เบิกถอนจากบัญชีของโจทก์ร่วมไปเข้าบัญชีดังกล่าวหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุเดียวกัน จำเลยเป็นทั้งคนร้ายที่เป็นตัวการร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิ ใช้เอกสารสิทธิปลอมและฉ้อโกงเอาเงินจากบัญชีเงินฝากของโจทก์ร่วม แล้วจำเลยยังกระทำความผิดฐานรับของโจรในวันเวลาเดียวกัน โดยจำเลยรับของโจรเงินที่จำเลยร่วมกันฉ้อโกงมาได้ ซึ่งองค์ประกอบความผิดฐานรับของโจรเป็นความผิดอันเกิดจากการช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใด ซึ่งทรัพย์อันได้มาจากการที่ผู้อื่นกระทำความผิดอันเกี่ยวกับทรัพย์ หาได้เป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงของจำเลยเอง ฟ้องของโจทก์ในความผิดสองฐานดังกล่าวจึงเป็นฟ้องที่ขัดแย้งกันเอง อันเป็นฟ้องเคลือบคลุม ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) โจทก์ร่วมฎีการับว่า เหตุที่โจทก์ฟ้องจำเลยในลักษณะดังกล่าว เนื่องจากไม่แน่ใจว่าการกระทำของจำเลยเป็นการร่วมกระทำความผิดโดยมีขั้นตอนวิธีการกระทำความผิดแบบใด และใครเป็นผู้ลงมือกระทำอย่างไรบ้าง เนื่องจากนางสาววาสนายังหลบหนีไม่สามารถจับกุมได้ โจทก์จึงบรรยายฟ้องรายละเอียดลักษณะการกระทำของจำเลยและนางสาววาสนาเท่าที่ปรากฏจากพยานหลักฐาน อันแสดงว่าโจทก์ร่วมเองก็ยังไม่ทราบว่าจำเลยกระทำความผิดฐานรับของโจรตามข้อกล่าวหาจริงหรือไม่ จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานฉ้อโกงและฐานรับของโจรตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า โจทก์ร่วมไม่มีอำนาจร้องทุกข์ ทำให้พนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจสอบสวนและทำให้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้นั้น เห็นว่า เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2544 นายทนงขอจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมหุ้นส่วนเข้าหนึ่งคน หุ้นส่วนออกหนึ่งคน และในวันเดียวกันหุ้นส่วนของโจทก์ร่วมมีมติเลือกนายวิรัช ซึ่งเป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิดคนใหม่เข้าเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของโจทก์ร่วมแทนนายทนง ซึ่งโจทก์ร่วมมีหน้าที่นำความไปจดทะเบียนภายในสิบสี่วันนับแต่วันที่มีการเปลี่ยนแปลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1078/1 และ 1078/2 เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงปรากฏแก่บุคคลอื่น ดังนี้ แม้นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจะดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงหุ้นส่วนผู้จัดการเสร็จสิ้นภายหลังจากที่นายทนงถึงแก่ความตายไปแล้ว ก็หามีผลทำให้การยื่นคำขอจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงหุ้นส่วนผู้จัดการภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดดังกล่าวต้องเสียไปไม่ นายวิรัชย่อมเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการที่สามารถดำเนินกิจการและรับผิดชอบในกิจการของโจทก์ร่วมต่อไปได้โดยชอบ โจทก์ร่วมจึงมีอำนาจร้องทุกข์ดำเนินคดีนี้ การสอบสวนของพนักงานสอบสวนชอบด้วยกฎหมายแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ส่วนฎีกาข้ออื่นของจำเลยไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงจึงไม่จำต้องวินิจฉัยให้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยมาชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน