คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 75/2540

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คู่ความตกลงสืบท. ต่อหน้าศาลด้วยความสมัครใจซึ่งศาลเห็นชอบด้วยเป็นการที่คู่ความสละประเด็นข้อพิพาทอื่นโดยยึดเอาผลตามคำท้าเป็นข้อยุติถ้าจะให้คู่ความแต่ละฝ่ายมีสิทธิถอนคำท้าซึ่งได้ตกลงไว้โดยเหตุผลเพียงแต่เกรงว่าท. จะเบิกความเข้าข้างอีกฝ่ายหนึ่งเท่านั้นโดยไม่มีเหตุผลอื่นตามกฎหมายที่จะอ้างได้ย่อมเป็นการไม่ชอบจำเลยจึงไม่มีสิทธิถอนคำท้าโดยอ้างเหตุดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 439 เมื่อประมาณ20 ปีมาแล้ว นายเทียว เลี่ยนเห่า ขายโรงเรือนบนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยโดยมีเงื่อนไขให้จำเลยอยู่อาศัยได้เพียง 5 ปีครั้นครบกำหนดเวลา จำเลยไม่ยอมรื้อถอนโรงเรือนออกไปโจทก์บอกกล่าวแล้วแต่จำเลยเพิกเฉยทำให้โจทก์เสียหายขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินตาม น.ส.3 ก.เลขที่ 439 และส่งมอบที่ดินดังกล่าวในสภาพเรียบร้อยแก่โจทก์ห้ามมิให้จำเลยและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 600 บาท แก่โจทก์ นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะรื้อถอนโรงเรือน
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า เมื่อปี 2512 จำเลยซื้อที่ดินพิพาทจำนวนครึ่งหนึ่ง เนื้อที่ประมาณ 200 ตารางวา พร้อมบ้านเรือนไม้สองชั้นบนที่ดินพิพาทจากนายเทียวซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทร่วมกับนายหั้ว เลี่ยนเห่า บิดาโจทก์ในราคา 7,500 บาทและจำเลยเข้าครอบครองทำประโยชน์ปลูกต้นผลอาสินและพักอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทตลอดมาโดยโจทก์ไม่เคยคัดค้าน ต่อมาเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2537 โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยออกจากที่ดินพิพาทอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของจำเลย ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาว่า ที่ดินตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 439 จำนวนครึ่งหนึ่งพร้อมบ้านเป็นของจำเลยห้ามโจทก์เข้าเกี่ยวข้อง
โจทก์ ขาดนัด ยื่นคำให้การ แก้ฟ้อง แย้ง
ระหว่างพิจารณา คู่ความแถลงร่วมกันว่า คู่ความต่างระบุนายเทียง เลี่ยนเห่า เป็นพยานและยอมสละประเด็นข้อพิพาททุกข้อโดยท้ากันว่า ถ้านายเทียวยอมสาบานและปฏิญาณต่อหน้าพระอุโบสถวัดซะแล้ อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา แล้วเบิกความต่อหน้าองค์คณะผู้พิพากษาว่า นายเทียวขายที่ดินพิพาทพร้อมบ้านบนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย โจทก์ยอมแพ้คดี แต่ถ้าหากนายเทียวเบิกความว่า ขายเฉพาะบ้านบนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย จำเลยยอมแพ้คดี
เมื่อโจทก์จำเลยห้ากันดังกล่าวข้างต้นแล้ว ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องว่า จำเลยทราบว่า นายเทียวมีพฤติการณ์ไม่เป็นพยานร่วมที่เป็นกลางหรืออยู่แก่ร่องรอย จึงขอถอนคำท้า ขอให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาพิพากษาตามรูปคดี ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นสืบนายเทียวตามคำท้าของโจทก์จำเลยแล้วเห็นว่านายเทียวได้สาบานและปฏิญาณตนต่อหน้าพระอุโบสถวัดชะแล้อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา แล้วเบิกความต่อหน้าองค์คณะผู้พิพากษาว่า ได้ขายเฉพาะบ้านบนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยถือได้ว่าคำเบิกความของนายเทียวสมประโยชน์แก่โจทก์จำเลยจึงต้องเป็นฝ่ายแพ้ตามคำท้า พิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 439 ตำบลชะแล้อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา และห้ามเกี่ยวข้อง ให้จำเลยส่งมอบที่ดินพิพาทในสภาพเรียบร้อยแก่โจทก์ และให้ใช้ค่าเสียหายเดือนละ 500 บาท แก่โจทก์ นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 18 มกราคม2538) เป็นต้นไป จนกว่าจะรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินพิพาทส่วนฟ้องแย้งให้ยกฟ้อง
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ในชั้นนี้คงมีปัญหาในข้อกฎหมายเพียงว่า เมื่อคู่ความตกลงท้ากันสืบพยานร่วมแล้วฝ่ายหนึ่งขอถอนคำท้า ขอดำเนินกระบวนพิจารณาไปได้หรือไม่ เห็นว่าคู่ความตกลงสืบนายเทียฝพยานคนกลางต่อหน้าศาลด้วยความสมัครใจซึ่งศาลก็เห็นชอบด้วย คำท้าดังกล่าวเป็นการที่คู่ความสละประเด็นข้อพิพาทอื่นโดยยึดเอาผลตามคำท้าเป็นข้อยุติถ้าจะให้คู่ความแต่ละฝ่ายมีสิทธิถอนคำท้าซึ่งตนเองได้ตกลงไว้โดยชอบด้วยกฎหมาย โดยเหตุผลเพียงแต่เกรงว่า พยานคนกลางจะเบิกความเข้าข้างอีกฝ่ายหนึ่งเท่านั้นโดยไม่มีเหตุผลอื่นตามกฎหมายที่จะอ้างได้ย่อมเป็นการไม่ชอบ เพราะมิฉะนั้นคำท้าที่ตกลงกันต่อหน้าศาลก็จะไม่เกิดประโยชน์ เมื่อไม่มีเหตุตามกฎหมายที่จำเลยจะอ้างได้แล้ว จำเลยจึงไม่มีสิทธิถอนคำท้า”
พิพากษายืน

Share