คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 65/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่1เป็นสามีของจำเลยที่2โดยอาศัยอยู่บ้านเดียวกันขณะที่สายลับไปล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่2จำเลยที่2อยู่ใต้ถุนบ้านส่วนจำเลยที่1นอนอยู่บนบ้านและตรวจค้นยึดเมทแอมเฟตามีนของกลางได้จากกระเป๋ากางเกงของเด็กที่แขวนอยู่ที่เสาใต้ถุนบ้านส่วนธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อก็ยึดได้จากจำเลยที่2และระหว่างนั้นไม่ปรากฎว่าจำเลยที่1มีพฤติการณ์ที่ส่อแสดงว่าได้ร่วมกับจำเลยที่2กระทำความผิดแต่กลับเป็นผู้นำตรวจค้นบนบ้านโจทก์คงมีแต่คำให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยที่1ซึ่งให้การปฎิเสธในชั้นพิจารณาเป็นพยานบอกเล่าพนักงานสอบสวนดำเนินการไปฝ่ายเดียวโดยฝ่ายจำเลยที่1ไม่มีโอกาสโต้แย้งคัดค้านแม้ไม่มีกฎหมายห้ามมิให้รับฟังแต่ก็มีน้ำหนักน้อยโจทก์จะต้องมีพยานอื่นมาสืบประกอบจึงจะรับฟังลงโทษจำเลยที่1ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2537 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีน อันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2จำนวน 30 เม็ด น้ำหนักรวมสิ่งเจือปน 2.150 กรัม ปริมาณเมทแอมเฟตามีน 0.051 กรัม และผงหยาบแอมเฟตามีน1 ถุงเล็ก น้ำหนักรวมสิ่งเจือปน 0.400 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อขายและได้ขายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวบางส่วนจำนวน 6 เม็ดให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อโดยไม่ได้รับอนุญาต เหตุเกิดที่ตำบลหนองโพงาม อำเภอเกษตรสมบูรณ์ จังหวัดชัยภูมิ เจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งสองได้พร้อมด้วยเมทแอมเฟตามีนที่เหลือจากการขายให้แก่สายลับจำนวน 24 เม็ด ผงหยาบแอมเฟตามีน 1 ถุงเล็กและเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยขายให้แก่สายลับจำนวน 6 เม็ดกับยึดได้ธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อจำนวน 130 บาท เป็นของกลาง อนึ่งจำเลยที่ 1 เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก 6 เดือนปรับ 10,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปีฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ไว้ในครอบครอง และภายในระยะเวลาที่ศาลรอการลงโทษ จำเลยที่ 1 กลับมากระทำผิดในคดีนี้อีก ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518มาตรา 4, 6, 13, 13 ทวิ, 62, 89, 106, 116ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 58, 83, 91 ริบของกลาง เว้นแต่ธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อจำนวน 130 บาท ให้คืนแก่เจ้าของและบวกโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่266/2537 ของศาลชั้นต้นเข้ากับโทษในคดีนี้
จำเลยที่ 1 ให้การปฎิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีก่อนที่ศาลรอการลงโทษไว้ตามฟ้องโจทก์จริง ส่วนจำเลยที่ 2ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง,89 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ฐานร่วมกันขายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2โดยไม่ได้รับอนุญาตให้จำคุกคนละ 5 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพชั้นพิจารณาของศาล เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ลดโทษให้จำเลยที่ 1 หนึ่งในห้าและลดโทษให้จำเลยที่ 2กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 4 ปี และจำคุกจำเลยที่ 2มีกำหนด 2 ปี 6 เดือน บวกโทษจำคุก 6 เดือน ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 266/2537 ของศาลชั้นต้นแก่จำเลยที่ 1รวมเป็นจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 4 ปี 6 เดือน ริบของกลางเว้นแต่ธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อจำนวน 130 บาท ให้คืนเจ้าของ ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลย ที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ด้วย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า เมื่อวันที่7 เมษายน 2537 พันตำรวจโทสิริชัย กิ่งแฝง สารวัตรสถานีตำรวจภูธรตำบลบ้านเป้า ได้รับแจ้งจากนายสุเมธ แสงนิ่มนวล นายอำเภอเกษตรสมบูรณ์ว่า จำเลยทั้งสองลักลอบขายเมทแอมเฟตามีนที่บ้านเลขที่ 156 หมู่ที่ 5 ตำบลหนองโพนงาม อำเภอเกษตรสมบูรณ์จังหวัดชัยภูมิ จึงมอบหมายให้จ่าสิบตำรวจอุทัย มูลนาม สืบสวนหาข้อเท็จจริง พันตำรวจโทสิริชัยได้รับรายงานตรงตามที่ได้รับแจ้งมาจึงวางแผนจับกุม โดยนำธนบัตรฉบับละ 100 บาท 1 ฉบับฉบับละ 50 บาท 1 ฉบับ ฉบับละ 20 บาท 2 ฉบับ ฉบับละ 10 บาท1 ฉบับ ไปถ่ายสำเนาเอกสารแล้วนำมาลงบันทึกประจำวันไว้จากนั้นได้มอบธนบัตรดังกล่าวให้จ่าสิบตำรวจอุทัยนำไปให้สายลับใช้ล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลย โดยจ่าสิบตำรวจอุทัยกับสิบตำรวจโทช่วงโชติ ขอพรกลาง ติดตามสายลับไป ดูการล่อซื้ออยู่ห่างจากบ้านของจำเลยทั้งสองประมาณ 20 เมตร เมื่อสายลับซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 2 ได้จำนวน 6 เม็ด ในราคา200 บาท และนำมามอบให้จ่าสิบตำรวจอุทัย แล้วพันตำรวจโทสิริชัยก็นำเจ้าพนักงานตำรวจเข้าตรวจค้นบ้านจำเลยที่ 2 พบจำเลยที่ 2อยู่ที่ใต้ถุนบ้าน ส่วนจำเลยที่ 1 นอนอยู่บนบ้าน ผลการตรวจค้นพบอุปกรณ์สำหรับเสพเมทแอมเฟตามีนจำนวน 3 กระป๋องอยู่บนบ้านพบธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อฉบับละ 100 บาท 1 ฉบับ ฉบับละ 20 บาท 1 ฉบับฉบับละ 10 บาท 1 ฉบับ อยู่ที่จำเลยที่ 2 และพบเมทแอมเฟตามีนจำนวน 24 เม็ด อยู่ในกระเป๋ากางเกงซื้อแขวนไว้ที่เสาใต้ถุนบ้านโดยในระหว่างที่สิบตำรวจตรีสังคม ชินกิ่ง ตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนจำนวนดังกล่าว จำเลยที่ 2 ได้เข้ามาแย่งกางเกงทำให้เมทแอมเฟตามีนบางส่วนแตกรวบรวมได้จำนวน 1 ถุงเล็กจึงยึดไว้เป็นของกลาง รวมกับเมทแอมเฟตามีนที่ได้จากการล่อซื้อและจับกุมจำเลยทั้งสองโดยแจ้งข้อหาว่า ร่วมกันขายและมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองเพื่อขายโดยไม่ได้รับอนุญาตชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
จำเลยที่ 1 นำสืบว่า จำเลยที่ 1 เป็นสามีของจำเลยที่ 2มีบุตรด้วยกัน 4 คน อยู่ในความอุปการะเลี้ยงดู บุตรคนโตและคนเล็กตาบอด จำเลยที่ 2 จึงนำเมทแอมเฟตามีนมาขายเพื่อหารายได้และนำเงินมารักษาบุตร โดยจำเลยที่ 1 ไม่ได้รู้เห็นหรือเกี่ยวข้องด้วย จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมเพราะเจ้าพนักงานตำรวจบอกว่าถ้าไม่รับสารภาพจะจับกุมบุตรด้วย และจำเลยที่ 1ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเพื่อให้ได้รับการปล่อยชั่วคราว
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า จำเลยที่ 1เป็นสามีของจำเลยที่ 2 มีบุตร 4 คน อาศัยอยู่ด้วยกันที่บ้านเลขที่156 หมู่ที่ 5 ตำบลหนองโพนงาม อำเภอเกษตรสมบูรณ์ จังหวัดชัยภูมิในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อขายและจำเลยที่ 2 ได้ขายเมทแอมเฟตามีนโดยไม่ได้รับอนุญาต มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 1ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีพันตำรวจโทสิริชัย กิ่งแฝง พนักงานสอบสวน สิบตำรวจตรีช่วงโชติขอพรกลาง สิบตำรวจตรีสังคม ชินกิ่ง และจ่าสิบตำรวจอุทัยมูลนาม เจ้าพนักงานตำรวจที่ร่วมกับพันตำรวจโทสิริชัยจับกุมจำเลยทั้งสองเป็นพยานแต่คงได้ความตามคำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าวเพียงว่า ในขณะที่สายลับไปล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนได้จากจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 อยู่ใต้ถุนบ้าน ส่วนจำเลยที่ 1 นอนอยู่บนบ้านและในตอนตรวจค้นยึดของกลางพยานโจทก์ก็ยึดเมทแอมเฟตามีนของกลางได้จากกระเป๋ากางเกงของเด็กที่แขวนอยู่ที่เสาใต้ถุนบ้านส่วนธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อก็ยึดได้จากจำเลยที่ 2 ข้อเท็จจริงไม่ได้ความว่าระหว่างตรวจค้นและจับจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 มีพฤติการณ์ที่ส่อแสดงว่าได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 กระทำความผิด กลับได้ความว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้นำตรวจค้นบนบ้าน และที่พยานโจทก์ยึดอุปกรณ์สำหรับเสพเมทแอมเฟตามีนได้บนบ้านของจำเลยทั้งสองและจำเลยที่ 1 เคยต้องโทษในความผิดฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทมาแล้ว ก็ไม่อาจรับฟังเป็นเหตุผลเชื่อมโยงไปว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อขายและขาย ส่วนที่นายบู้ ขิดกุดเลาะ พยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านที่เกิดเหตุเบิกความว่า เคยเห็นจำเลยที่ 1 นำเมทแอมเฟตามีนไปขายในบริเวณงานทำบุญ นายบู้ก็เบิกความเพียงลอย ๆ ไม่มีพยานมาสืบสนับสนุน ทั้งเป็นเหตุการณ์ต่างวันเวลาไม่ต่อเนื่องใกล้ชิดกับเหตุในคดีนี้ จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง พยานโจทก์ที่เหลือคงมีเพียงคำให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 1 ลงชื่อรับรองไว้ตามเอกสารหมาย จ.4 และ จ.9 คำให้การของจำเลยที่ 1 ในชั้นสอบสวนซึ่งจำเลยที่ 1 ให้การปฎิเสธในชั้นพิจารณาเป็นพยานบอกเล่าพนักงานสอบสวนดำเนินการไปฝ่ายเดียว โดยฝ่ายจำเลยที่ 1 ไม่มีโอกาสโต้แย้งคัดค้าน แม้ไม่มีกฎหมายห้ามมิให้รับฟัง แต่ก็มีน้ำหนักน้อย โจทก์จะต้องมีพยานอื่นมาสืบประกอบเมื่อพยานอื่นที่โจทก์นำสืบคงได้ความแต่เพียงว่า จำเลยที่ 1 เป็นสามีจำเลยที่ 2 อาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน ขณะที่มีการล่อซื้อ ตรวจค้นยึดของกลางและจับกุมไม่มีพฤติการณ์ส่อพิรุธให้เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 2 แต่อย่างใดที่โจทก์ฎีกาโต้เถียงว่าจำเลยที่ 1 เป็นสามีของจำเลยที่ 2 อาศัยอยู่ในบ้านเดียวกันการที่จำเลยที่ 2 ขายเมทแอมเฟตามีนเพื่อหารายได้มาเลี้ยงครอบครัว เป็นการกระทำผิดที่มีโทษฉกรรจ์ จำเลยที่ 2 จะต้องปรึกษาหารือตกลงร่วมกับจำเลยที่ 1 ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ก็อยู่บนบ้านจึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 2 นั้นเป็นการคาดคะเนซึ่งไม่แน่นอน จึงไม่อาจรับฟังมาลงโทษจำเลยที่ 1ได้ และในชั้นพิจารณาจำเลยที่ 1 นำสืบต่อสู้ว่า ชั้นจับกุมจำเลยที่ 1 มิได้ให้การรับสารภาพโดยสมัครใจเพราะเจ้าพนักงานตำรวจบอกว่าถ้าจำเลยที่ 1 ไม่รับสารภาพจะจับบุตรของจำเลยทั้งสองมาดำเนินคดีด้วย ซึ่งก็มีเหตุผลอันควรรับฟังเพราะเจ้าพนักงานตำรวจยึดเมทแอมเฟตามีนของกลางได้จากกระเป๋ากางเกงของเด็กที่แขวนอยู่ที่เสาใต้ถุนบ้าน พยานหลักฐานโจทก์จึงยังเป็นที่สงสัยว่าจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 2 ตามฟ้องหรือไม่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยที่ 1โดยยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 มานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share