คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7494/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เอกสารท้ายคำให้การที่จำเลยอ้างถึงในคำให้การถือเป็นส่วนหนึ่งของคำให้การจึงไม่ต้องระบุอ้างเอกสารดังกล่าวในบัญชีระบุพยานอีกศาลรับฟังได้ การที่จำเลยไม่เสียค่าอ้างเอกสารนั้นไม่ปรากฎว่าจำเลยจงใจฝ่าฝืนไม่เสียและศาลชั้นต้นก็มิได้สั่งเรียกเก็บ จึงมิใช่ความบกพร่องของจำเลย ไม่ควรยกเป็นเหตุไม่รับฟังเอกสาร จำเลยให้การต่อสู้ใจความว่า จำเลยไม่ได้กู้เงินจากโจทก์ตามฟ้อง ไม่เคยทำสัญญากู้เงินกับโจทก์ โจทก์บังคับให้จำเลยลงลายมือชื่อในกระดาษเปล่า เป็นการปฏิเสธฟ้องโจทก์โดยสิ้นเชิงและอ้างที่มาแห่งสัญญากู้เงินตามฟ้องว่ามีความเป็นมาอย่างไรเป็นคำให้การที่ชัดแจ้งไม่ขัดกัน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่เชื่อว่าจำเลยทำสัญญากู้เงินโจทก์ตามฟ้องจึงมิใช่การวินิจฉัยนอกประเด็น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้เงินกู้จำนวน 161,250 บาทพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาโดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาในศาลอุทธรณ์ภาค 2รับรองให้ฎีกาในข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 รับฟังเอกสารท้ายคำให้การหมายเลข 1, 2, 3 และ 4 เป็นการรับฟังพยานหลักฐานที่ไม่ชอบเพราะจำเลยมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานและไม่ได้เสียค่าอ้างเอกสารนั้นเห็นว่า จำเลยยื่นคำให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กู้เงินจากโจทก์ลายมือชื่อจำเลยในสัญญากู้เงินตามฟ้องโจทก์บังคับให้ลงลายมือชื่อเหตุแห่งการปฏิเสธต่อสู้ปรากฎตามเอกสารท้ายคำให้การที่จำเลยได้ถ่ายเป็นสำเนารับรองถูกต้องติดมาด้วยแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำให้การ จำเลยจึงไม่ต้องระบุอ้างเอกสารดังกล่าวในบัญชีระบุพยานอีก ส่วนค่าอ้างเอกสารนั้นไม่ปรากฎว่าจำเลยจงใจฝ่าฝืนไม่เสียและศาลชั้นต้นก็มิได้สั่งเรียกเก็บ จึงมิใช่ความบกพร่องของจำเลย ไม่ควรยกเป็นเหตุไม่รับฟัง ทั้งโจทก์ได้รับสำเนาแล้ว มิได้ปฏิเสธว่าเอกสารดังกล่าวไม่ถูกต้องเมื่อจำเลยนำสืบปฏิเสธว่าไม่ได้กู้เงินจากโจทก์ แต่ถูกโจทก์บังคับให้ลงลายมือชื่อ โดยมีสาเหตุจากบุตรสาวจำเลยซึ่งเป็นภริยาโจทก์ถูกโจทก์ทารุณจึงหลบหนี โจทก์นำจำเลยมาคุมขังเพื่อบีบบังคับให้บุตรสาวจำเลยกลับมาหาโจทก์ และในระหว่างนั้นโจทก์บังคับให้จำเลยลงลายมือชื่อในกระดาษเปล่าการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 รับฟังข้อนำสืบของจำเลยแล้ววินิจฉัยว่า น่าเชื่อเพราะมีเอกสารดังกล่าวสนับสนุน อันเป็นการใช้ดุลพินิจชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานของจำเลยว่ามีน้ำหนักน่าเชื่อหรือไม่เพียงใด จึงเป็นการรับฟังพยานหลักฐานโดยชอบ
ฎีกาของโจทก์ประการที่ 2 ที่ว่า คำให้การของจำเลยให้การต่อสู้เป็นสองนัยขัดกันไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่มีประเด็นนำสืบการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่าไม่มีการกู้ยืมเงินตามที่จำเลยให้การจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นนั้น เห็นว่า จำเลยให้การต่อสู้ใจความว่า จำเลยไม่ได้กู้เงินจากโจทก์ตามฟ้อง ไม่เคยทำสัญญากู้เงินกับโจทก์ โจทก์บังคับให้จำเลยลงลายมือชื่อในกระดาษเปล่า จึงเป็นการปฏิเสธฟ้องโจทก์โดยสิ้นเชิง และอ้างที่มาแห่งสัญญากู้เงินตามฟ้องว่ามีความเป็นมาอย่างไร จึงเป็นคำให้การที่ชัดแจ้งไม่ขัดกัน ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2วินิจฉัยพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายแล้วไม่เชื่อว่าจำเลยทำสัญญากู้เงินโจทก์ตามฟ้อง จึงมิใช่การวินิจฉัยนอกประเด็นแล้ว ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าจำเลยไม่ได้กู้เงินโจทก์ตามฟ้อง
พิพากษายืน

Share