แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตามคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของโจทก์ในชั้นฎีกาฉบับแรกว่าโจทก์ไม่นำพยานมาไต่สวน ให้ยกคำร้องขออนาถาของโจทก์ เท่ากับวินิจฉัยในเนื้อหาแห่งคำร้องของโจทก์แล้วว่า โจทก์ไม่ใช่คนอนาถา ซึ่งโจทก์ต้องขออนุญาตให้โจทก์นำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าโจทก์เป็นคนยากจนจริง เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาใหม่โดยไม่ได้ขอนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติม ประกอบกับคดีนี้ไม่มีการไต่สวนสืบพยานเนื่องจากโจทก์ไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานและไม่มาศาลในวันนัดไต่สวนครั้งแรก จึงไม่ต้องด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 156 วรรคสี่ ศาลชั้นต้นสั่งรับคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาฉบับใหม่ของโจทก์ไว้จึงไม่ชอบ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองแบ่งแยกที่ดินและจดทะเบียนโอนให้แก่โจทก์เป็นเนื้อที่ ๑๒ ไร่ หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
วันนัดชี้สองสถาน จำเลยทั้งสองแถลงสละข้อต่อสู้ในประเด็นว่าฟ้องของโจทก์เป็นคดีอุทลุม
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินตามแผนที่พิพาทเนื้อที่จำนวน ๓ ไร่ ให้แก่โจทก์ ค่าใช้จ่ายให้ออกฝ่ายละครึ่ง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๙ พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนจำเลยทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความ ๒๐,๐๐๐ บาท
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตให้ฎีกาอย่างคนอนาถา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว ข้อเท็จจริงปรากฏว่า โจทก์ยื่นฎีกาวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๔๔ พร้อมกับยื่นคำร้องขอขยายเวลาวางเงินค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกา ศาลชั้นต้นอนุญาตตามขอ ๒ ครั้ง ถึงวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๔๔ ครั้นถึงวันครบกำหนดโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอฎีกาอย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคำร้องในวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๔๔ แต่ไม่มีคู่ความมาศาลในวันนัดโดยที่โจทก์ไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยาน ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งว่า โจทก์ไม่นำพยานมาไต่สวน ให้ยกคำร้องขออนาถาของโจทก์ ให้โจทก์นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมมาชำระภายใน ๗ วัน ต่อมาวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๔๔ โจทก์ยื่นคำร้องขอยื่นฎีกาอย่างคนอนาถาใหม่ ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องโจทก์แล้วมีคำสั่งในวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๔๕ อนุญาตให้โจทก์ฎีกาอย่างคนอนาถา และมีคำสั่งรับฎีกาโจทก์ เห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งตามคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของโจทก์ฉบับแรกว่า โจทก์ไม่นำพยานมาไต่สวน และให้ยกคำร้องขออนาถาของโจทก์ คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเท่ากับวินิจฉัยในเนื้อหาแห่งคำร้องของโจทก์แล้วว่า โจทก์ไม่ใช่คนอนาถาจะใช้สิทธิดำเนินคดีอย่างคนอนาถาไม่ได้ การที่โจทก์ยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาใหม่นั้น ย่อมถือเป็นการใช้สิทธิตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา ๑๕๖ วรรคสี่ ซึ่งโจทก์จะต้องขออนุญาตให้โจทก์นำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่า โจทก์เป็นคนยากจน แต่คำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาใหม่ของโจทก์ ฉบับลงวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๔๔ นั้นหาได้กล่าวอ้างว่า โจทก์ขอนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมโดยระบุถึงเหตุที่มิได้ระบุหรืออ้างไว้ในการไต่สวนครั้งแรกไว้ไม่ เมื่อประกอบกับคดีนี้ไม่มีไต่สวนสืบพยานโจทก์เนื่องจากโจทก์ไม่ยื่นบัญชีระบุพยาน และไม่มาศาลในวันนัดไต่สวนครั้งแรก กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๕๖ วรรคสี่ ที่ศาลชั้นต้นรับคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาใหม่ของโจทก์ไว้ไต่สวนจึงไม่ชอบด้วยบทกฎหมายดังกล่าว ดังนั้น คำสั่งของศาลชั้นต้นลงวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๔๕ ที่อนุญาตให้โจทก์ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาและสั่งรับฎีกาของโจทก์ไว้จึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยแก้ไขให้ถูกต้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๒ (๕) ประกอบด้วยมาตรา ๒๔๖ และมาตรา ๒๔๗
พิพากษากลับ ให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นลงวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๔๕ ที่อนุญาตให้โจทก์ฎีกาอย่างคนอนาถา และคำสั่งรับฎีกาโจทก์เสีย หากโจทก์ประสงค์จะฎีกาต่อไปก็ให้เสียค่าธรรมเนียมและนำเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่จะต้องใช้แทนจำเลยทั้งสองตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๙ มาวางศาลภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ให้เป็นพับ.