คำวินิจฉัยที่ 77/2557

แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ

ย่อสั้น

คดีที่เอกชนเจ้าของที่ดินมือเปล่าฟ้องกรมที่ดินว่าที่ดินของตนบางส่วนมีผู้บุกรุกเข้าทำประโยชน์ ซึ่งโจทก์ฟ้องผู้บุกรุกเป็นคดีแพ่ง แต่ผู้บุกรุกอ้างว่า เป็นที่ดินตาม น.ส. ๓ เลขที่ ๒๔๕ ของผู้มีชื่อ โจทก์ตรวจสอบพบว่า การออก น.ส. ๓ เลขที่ ๒๔๕ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากไม่ตรงตามความเป็นจริง โจทก์แจ้งให้เจ้าพนักงานที่ดินของจำเลยเพิกถอน น.ส. ๓ เลขที่ ๒๔๕ แล้ว แต่เพิกเฉย ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอน น.ส. ๓ เลขที่ ๒๔๕ และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายหรือค่าขาดประโยชน์พร้อมดอกเบี้ย ส่วนจำเลยให้การว่า น.ส. ๓ เลขที่ ๒๔๕ ได้ออกมาก่อนที่โจทก์จะซื้อและเข้าครอบครองที่ดิน ทั้งไม่ได้ออกรุกล้ำหรือทับที่ดินของโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า เมื่อพิจารณาความมุ่งหมายของโจทก์ที่ใช้สิทธิทางศาลก็เพื่อให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินที่โจทก์กล่าวอ้างเป็นสำคัญ และในการออกเอกสารสิทธิในที่ดินของจำเลยก็เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดเพื่อให้ผู้มีสิทธิในที่ดินที่แท้จริงได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย การที่จำเลยจะปฏิบัติ ตามคำขอของโจทก์ได้นั้น ก็จะต้องดำเนินการไปตามข้อเท็จจริงที่รับฟังได้เป็นยุติ ศาลจึงจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ตามที่กล่าวอ้างหรือไม่เป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นได้ต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

ย่อยาว

(สำเนา)

คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๗๗/๒๕๕๗

วันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๕๗

เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน

ศาลจังหวัดเพชรบุรี
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง

การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดเพชรบุรีโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น

ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๕ นางกัญญานันท์ เก่าเงิน โจทก์ ยื่นฟ้องกรมที่ดิน จำเลย ต่อศาลจังหวัดเพชรบุรี เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๖๖๗/๒๕๕๕ หมายเลขแดงที่ ๕๒๙/๒๕๕๕ ความว่า โจทก์เป็นเจ้าของและครอบครองที่ดินมือเปล่า ตั้งอยู่ที่หมู่ ๕ ตำบลหนองหญ้าปล้อง กิ่งอำเภอหนองหญ้าปล้องหรืออำเภอหนองหญ้าปล้อง จังหวัดเพชรบุรี เนื้อที่ ๗๘ ไร่ ๑ งาน ๙๘ ตารางวา ด้วยความสงบ เปิดเผยโดยเจตนาเป็นเจ้าของนับแต่ซื้อมาถึงปัจจุบันเป็นเวลาประมาณ ๒๐ ปี เมื่อประมาณเดือนธันวาคม ๒๕๕๐ ดาบตำรวจเจียมศักดิ์ เตจ๊ะ และนายชูฤทธิ์ ดวงพรหมเมศ ได้ร่วมกันบุกรุกเข้าทำประโยชน์ในที่ดินบางส่วนของโจทก์ โจทก์จึงฟ้องบุคคล ทั้งสองเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๒๖๔๓/๒๕๕๑ ต่อศาลจังหวัดเพชรบุรี แต่บุคคลทั้งสองอ้างว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ ๒๔๕ ของผู้มีชื่อซึ่งบุคคลทั้งสองเช่าทำประโยชน์อยู่โดยก่อนโจทก์จะซื้อที่ดินแปลงพิพาทโจทก์สอบถามเจ้าพนักงานที่ดินเกี่ยวกับ น.ส. ๓ เลขที่ ๒๔๕ แล้วได้รับคำตอบว่า น.ส. ๓ เลขที่ ๒๔๕ ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และออกซ้ำกันหลายฉบับไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์ได้ แต่เหตุใด น.ส. ๓ ดังกล่าวยังมีอยู่และมีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์เป็นของผู้มีชื่อ โจทก์ตรวจสอบเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวปรากฏว่า รูปที่ดินใน น.ส. ๓ พิพาทมีเนื้อที่แตกต่างกับที่ดินของโจทก์ เจ้าของเขตแดนข้างเคียงไม่ปรากฏว่ามีอยู่จริง มีการปั๊มด้วยหมึกว่าที่ดินถูกเวนคืนมานานแล้วแต่ไม่มีการรังวัดตัดพื้นที่ออกไป และผู้มีชื่อใน น.ส. ๓ พิพาทไม่เคยครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินมาก่อน โจทก์จึงเชื่อว่า น.ส. ๓ ดังกล่าวน่าจะทำปลอมขึ้นเพื่อหาประโยชน์ของเจ้าพนักงานที่ดินกับพวก โดยไม่มีที่ดินอยู่จริง เป็นเหตุให้ผู้มีชื่อใน น.ส. ๓ พิพาทและจำเลยในคดีหมายเลขดำที่ ๒๖๔๓/๒๕๕๑ นำ น.ส. ๓ พิพาทมาแย่งการครอบครองที่ดินแปลงพิพาทของโจทก์ โจทก์แจ้งให้เจ้าพนักงานที่ดินของจำเลยเพิกถอน น.ส. ๓ เลขที่ ๒๔๕ แล้ว แต่เจ้าพนักงานที่ดินของจำเลยเพิกเฉย ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอน น.ส. ๓ เลขที่ ๒๔๕ และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายหรือค่าขาดประโยชน์พร้อมดอกเบี้ย
ศาลจังหวัดเพชรบุรีมีคำสั่งให้ยกฟ้อง เพราะตามคำฟ้องโจทก์ไม่ปรากฏว่าจำเลยกระทำการโต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์แต่อย่างใด เป็นเพียงจำเลยในคดีหมายเลขดำที่ ๒๖๔๓/๒๕๕๑ ของศาลนี้ซึ่งถูกโจทก์ฟ้องขับไล่ต่อสู้คดีโดยอ้าง น.ส. ๓ เลขที่ ๒๔๕ เป็นข้อต่อสู้ โดยโจทก์มิได้ยืนยันในฟ้องคดีนี้ว่า น.ส. ๓ ดังกล่าวถูกออกมาโดยไม่ชอบและทับกับที่ดินโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องไว้พิจารณา
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง และการฟ้องของโจทก์เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต การกระทำของจำเลยไม่ได้โต้แย้งสิทธิโจทก์ เพราะ น.ส. ๓ เลขที่ ๒๔๕ ได้ออกมาตั้งปี ๒๕๑๙ ก่อนที่โจทก์จะซื้อและเข้าครอบครอง และไม่ได้ออกรุกล้ำ หรือทับที่ดินของโจทก์ หรือแย่งสิทธิครอบครองของโจทก์ สิทธิของโจทก์ซึ่งมีภายหลังจะมีอยู่อย่างไรก็คงมีอยู่เช่นเดิม และเป็นเรื่องที่โจทก์ต้องไปพิสูจน์สิทธิครอบครองต่อเจ้าพนักงานที่ดินและคู่ความในคดีหมายเลขดำที่ ๒๖๔๓/๒๕๕๔ (ตามคำฟ้อง ๒๖๔๓/๒๕๕๑) ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจว่า คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดเพชรบุรีพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้โจทก์จะฟ้องจำเลยซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง แต่เหตุแห่งการฟ้องคดีของโจทก์ก็สืบเนื่องจากโจทก์อ้างว่า การออก น.ส. ๓ เลขที่ ๒๔๕ ของเจ้าพนักงานที่ดินของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากไม่ตรงตามความเป็นจริง และผู้มีชื่อใน น.ส. ๓ ไม่เคยครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินมาก่อน ดังนั้น การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือเป็นของบุคคลที่มีชื่อใน น.ส. ๓ ดังกล่าวเป็นสำคัญ จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า การออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นการใช้อำนาจทางปกครองตามประมวลกฎหมายที่ดินและกฎกระทรวงที่มีผลกระทบต่อสิทธิหน้าที่ของบุคคล เป็นคำสั่งทางปกครอง ตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ คดีนี้โจทก์ฟ้องเจ้าพนักงานของจำเลย ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองออก น.ส. ๓ เลขที่ ๒๔๕ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายอันเป็นการกล่าวอ้างว่าพนักงานเจ้าหน้าที่ออก น.ส. ๓ ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ ขอให้เพิกถอน น.ส. ๓ ดังกล่าว และให้ชดใช้ค่าเสียหาย จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการด้วยการออกคำสั่งทางปกครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและการทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากคำสั่งทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งศาลปกครองมีอำนาจออกคำบังคับตามคำขอของโจทก์ที่เพิกถอน น.ส. ๓ และชดใช้เงินค่าเสียหายดังกล่าวได้ ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ส่วนคดีมีประเด็นที่ต้องพิจารณาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือผู้มีชื่อใน น.ส. ๓ พิพาท นั้น เป็นประเด็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลจะต้องพิจารณาในเนื้อหาของคดี ซึ่งเป็นเพียงประเด็นปัญหาย่อยหนึ่งในหลายประเด็นปัญหาที่จะพิจารณาว่า การออก น.ส. ๓ ของเจ้าพนักงานจำเลยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และแม้การพิจารณาในเรื่องกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทจะต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือประมวลกฎหมายที่ดินก็ตาม แต่การพิจารณาในปัญหาดังกล่าวก็มิใช่เกณฑ์การพิจารณาว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลใด อีกทั้งไม่มีบทบัญญัติใดห้ามศาลปกครองมิให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้หรือมีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกำหนดให้เป็นอำนาจเฉพาะศาลหนึ่งศาลใดเท่านั้นที่จะนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้ ศาลปกครองจึงนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้เช่นเดียวกัน นอกจากนั้น มาตรา ๗๑ (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้บัญญัติให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลปกครองที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินมีผลผูกพันบุคคลภายนอก อันเป็นบทบัญญัติที่ยืนยันให้เห็นว่าศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เกี่ยวกับสิทธิแห่งทรัพย์สินและนำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาวินิจฉัยข้อพิพาทในคดีนี้ได้ รวมทั้งมีอำนาจกำหนดคำบังคับให้เพิกถอน น.ส. ๓ ที่ดินพิพาทได้ทั้งหมดหรือบางส่วนเพื่อเยียวยาความเสียหายตามคำขอของโจทก์ได้โดยที่ศาลยุติธรรมหาได้มีอำนาจเช่นนั้นไม่

คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลย ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง โดยตามคำฟ้องโจทก์อ้างว่า โจทก์เป็นเจ้าของและครอบครองที่ดินมือเปล่า ตำบลหนองหญ้าปล้อง กิ่งอำเภอหนองหญ้าปล้องหรืออำเภอหนองหญ้าปล้อง จังหวัดเพชรบุรี เนื้อที่ ๗๘ ไร่ ๑ งาน ๙๘ ตารางวา ด้วยความสงบ เปิดเผย โดยเจตนาเป็นเจ้าของนับแต่ซื้อมาถึงปัจจุบันเป็นเวลาประมาณ ๒๐ ปี แต่ถูกดาบตำรวจเจียมศักดิ์ และนายชูฤทธิ์ร่วมกันบุกรุกเข้าทำประโยชน์ในที่ดินบางส่วน โจทก์ได้ฟ้องบุคคลทั้งสองเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๒๖๔๓/๒๕๕๑ ต่อศาลนี้แล้ว แต่บุคคลทั้งสองอ้างว่า เป็นที่ดิน ตาม น.ส. ๓ เลขที่ ๒๔๕ ของผู้มีชื่อซึ่งบุคคลทั้งสองเช่าทำประโยชน์อยู่ ทั้งที่ก่อนโจทก์จะซื้อเจ้าพนักงานที่ดินได้แจ้งโจทก์ว่า น.ส. ๓ เลขที่ ๒๔๕ ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์ตรวจสอบพบว่า การออก น.ส. ๓ เลขที่ ๒๔๕ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจาก ไม่ตรงตามความเป็นจริง และผู้มีชื่อใน น.ส. ๓ ไม่เคยครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินมาก่อน โจทก์แจ้งให้เจ้าพนักงานที่ดินของจำเลยเพิกถอน น.ส. ๓ เลขที่ ๒๔๕ แล้ว แต่เจ้าพนักงานที่ดินของจำเลยเพิกเฉย ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอน น.ส. ๓ เลขที่ ๒๔๕ และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายหรือค่าขาดประโยชน์พร้อมดอกเบี้ย ส่วนจำเลยให้การว่า การกระทำของจำเลยไม่ได้โต้แย้งสิทธิโจทก์ เพราะ น.ส. ๓ เลขที่ ๒๔๕ ได้ออกมาตั้งปี ๒๕๑๙ ก่อนที่โจทก์จะซื้อและเข้าครอบครอง และไม่ได้ออกรุกล้ำ หรือทับที่ดินของโจทก์ หรือแย่งสิทธิครอบครองของโจทก์ สิทธิของโจทก์ซึ่งมีภายหลังจะมีอยู่อย่างไรก็คงมีอยู่เช่นเดิม และเป็นเรื่องที่โจทก์ต้องไปพิสูจน์สิทธิครอบครองต่อเจ้าพนักงานที่ดินและคู่ความในคดีหมายเลขดำที่ ๒๖๔๓/๒๕๕๑ ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า เมื่อพิจารณาความมุ่งหมายของโจทก์ที่ใช้สิทธิทางศาลก็เพื่อให้ศาลรับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินที่โจทก์กล่าวอ้างเป็นสำคัญ และในการออกเอกสารสิทธิในที่ดินของจำเลยก็เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดเพื่อให้ผู้มีสิทธิในที่ดินที่แท้จริงได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย การที่จำเลยจะปฏิบัติตามคำขอของโจทก์ได้นั้น ก็จะต้องดำเนินการไปตามข้อเท็จจริงที่รับฟังได้เป็นยุติ ศาลจึงจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ตามที่กล่าวอ้างหรือไม่เป็นสำคัญ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นได้ต่อไป จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางกัญญานันท์ เก่าเงิน โจทก์ กรมที่ดิน จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) ดิเรก อิงคนินันท์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายดิเรก อิงคนินันท์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม

(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง

(ลงชื่อ) พลเรือโท กฤษฎา เจริญพานิช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(กฤษฎา เจริญพานิช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร

(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ

Share