แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ
ย่อสั้น
คดีที่เอกชนยื่นฟ้องจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และจำเลยที่ ๒ และ ที่ ๓ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินมีโฉนดยื่นคำขอรังวัดแบ่งแยกที่ดิน แต่จำเลยทั้งสามคัดค้านการรังวัดและไม่รับรองแนวเขตที่ดินโดยอ้างว่า โจทก์นำชี้แนวเขตรุกล้ำเข้าไปในเขตทางสาธารณประโยชน์ คลองบางปลา และที่ดินของจำเลยที่ ๓ ขอให้เพิกถอนคำคัดค้านและรับรองแนวเขตที่ดิน ห้ามคัดค้านการรังวัดและเข้าเกี่ยวข้อง จำเลยทั้งสามให้การและฟ้องแย้งว่า ที่พิพาทบางส่วนตกเป็นส่วนหนึ่งของทางสาธารณประโยชน์อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ได้ปฏิบัติตามหน้าที่โดยชอบและขอให้บังคับโจทก์รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างพร้อมทั้งขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ที่ดินพิพาทมิใช่ทางสาธารณประโยชน์ ไม่ได้นำชี้รุกล้ำทางสาธารณประโยชน์และที่ดินของจำเลยที่ ๓ เห็นว่า การที่ศาลจะพิพากษาหรือมีคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่พิพาทโจทก์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นสำคัญ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ย่อยาว
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๗๖/๒๕๕๗
วันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๕๗
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลจังหวัดนครปฐม
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลจังหวัดนครปฐมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดีและศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๕ นางสาวศิวารี เพชรออย โจทก์ ยื่นฟ้องนายอำเภอบางเลน ที่ ๑ องค์การบริหารส่วนตำบลบางปลา ที่ ๒ กรมธนารักษ์ ที่ ๓ จำเลย ต่อศาลจังหวัดนครปฐม เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๗๙๕/๒๕๕๕ หมายเลขแดงที่ ๑๓๔๑/๒๕๕๕ ความว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๐๙๗ ตำบลบางปลา อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม เนื้อที่ ๑ ไร่ ๒ งาน ๔๘ ตารางวา ได้ยื่นคำขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครปฐม สาขาบางเลน แต่จำเลยทั้งสามคัดค้านการรังวัดและไม่รับรองแนวเขตที่ดินโดยอ้างว่า โจทก์นำชี้แนวเขตรุกล้ำเข้าไปในเขตทางสาธารณประโยชน์คลองบางปลา และที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๔๒๐ ของจำเลยที่ ๓ ทำให้โจทก์ไม่สามารถทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดิน ของโจทก์ได้ เจ้าพนักงานที่ดินได้ทำการไกล่เกลี่ยโจทก์กับจำเลยทั้งสามแล้ว แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งเพิกถอนคำคัดค้าน และให้จำเลยทั้งสามรับรองแนวเขตที่ดินพิพาท ห้ามจำเลยทั้งสามคัดค้านการรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทและเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท
จำเลยทั้งสามให้การและฟ้องแย้งโดยสรุปว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๐๙๗ มีเนื้อที่ไม่ตรงตามที่ระบุไว้ในโฉนดเนื่องจากที่ดินบางส่วนตกเป็นส่วนหนึ่งของทางสาธารณประโยชน์อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันแล้ว จำเลยทั้งสามปฏิบัติตามหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง และฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างพร้อมทั้งขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ห้ามโจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่สาธารณะดังกล่าว
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ที่ดินพิพาทมิใช่ทางสาธารณประโยชน์อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน แต่จำเลยทั้งสามโดยเฉพาะจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ กลับปล่อยปละละเลยให้บุคคลอื่นเข้าไปปลูกสร้างสิ่งปลูกสร้างบนทางสาธารณประโยชน์ โจทก์ไม่ได้นำชี้แนวเขตและปลูกสร้างสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำทางสาธารณประโยชน์และที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๔๒๐ ฟ้องแย้งเคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีนี้ไม่อยู่ในเขตอำนาจของศาลยุติธรรมแต่เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดทางปกครอง คดีจึงอยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดนครปฐมพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้เหตุแห่งการฟ้องคดีจะสืบเนื่องมาจากจำเลยทั้งสามคัดค้านไม่รับรองแนวเขตที่ดินตามที่โจทก์นำชี้ อันเป็นการใช้อำนาจทางปกครอง ตามกฎหมายซึ่งเป็นคำสั่งทางปกครองก็ตาม แต่การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนคำคัดค้านดังกล่าวหรือไม่ ศาลจำต้องพิจารณาให้ได้ความก่อนว่า ที่ดินส่วนที่พิพาทเป็นของโจทก์ซึ่งเป็นเอกชนหรือเป็นที่สาธารณประโยชน์เป็นสำคัญ ซึ่งจะต้องเป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายที่ดินและประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้เป็นการฟ้องว่า การปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายของจำเลยทั้งสามในการรักษาที่สาธารณประโยชน์ไว้เพื่อส่วนรวมเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน แม้คดีนี้จะมีประเด็นที่จะต้องพิจารณาเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินก็ตาม แต่ประเด็นดังกล่าว ก็เป็นเพียงปัญหาข้อเท็จจริงที่ใช้ประกอบการพิจารณาในข้อหาการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ และแม้การพิจารณาในเรื่องสิทธิในทรัพย์สินจะต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ก็ตาม แต่การนำบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดี ก็มิใช่เกณฑ์การพิจารณาว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลใด อีกทั้งไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใด ห้ามศาลปกครองมิให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวมาใช้บังคับแก่คดีได้ ศาลปกครองจึงนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายดังกล่าวมาใช้ในการวินิจฉัยข้อพิพาทแห่งคดีได้ คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจพิจารณา พิพากษาของศาลปกครอง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์เป็นเอกชนยื่นฟ้องจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๐๙๗ ตำบลบางปลา อำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม เนื้อที่ ๑ ไร่ ๒ งาน ๔๘ ตารางวา ได้ยื่นคำขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครปฐม สาขาบางเลน แต่จำเลยทั้งสามคัดค้านการรังวัดและไม่รับรองแนวเขตที่ดินโดยอ้างว่า โจทก์นำชี้แนวเขตรุกล้ำเข้าไปในเขตทางสาธารณประโยชน์ คลองบางปลา และที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๔๒๐ ของจำเลยที่ ๓ ทำให้โจทก์ไม่สามารถทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินของโจทก์ได้ ขอให้พิพากษาหรือมีคำสั่งเพิกถอนคำคัดค้านและให้จำเลยทั้งสามรับรองแนวเขตที่ดินพิพาท ห้ามจำเลยทั้งสามคัดค้านการรังวัดแบ่งแยกที่ดินพิพาทและเข้าเกี่ยวข้อง จำเลยทั้งสามให้การและฟ้องแย้งโดยสรุปว่า ที่พิพาทบางส่วนตกเป็นส่วนหนึ่งของทางสาธารณประโยชน์อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันแล้ว จำเลยทั้งสามปฏิบัติตามหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย และฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างพร้อมทั้งขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ห้ามเข้าเกี่ยวข้องกับที่สาธารณะดังกล่าว โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ที่ดินพิพาทมิใช่ทางสาธารณประโยชน์อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โจทก์ไม่ได้นำชี้แนวเขตและปลูกสร้างสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำทางสาธารณประโยชน์และที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๔๒๐ เห็นว่า การที่ศาลจะพิพากษาหรือมีคำสั่งตามคำขอของโจทก์ได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่พิพาทโจทก์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ตามที่กล่าวอ้างหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเป็นสำคัญ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นางสาวศิวารี เพชรออย โจทก์ นายอำเภอบางเลน ที่ ๑ องค์การบริหารส่วนตำบลบางปลา ที่ ๒ กรมธนารักษ์ ที่ ๓ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ดิเรก อิงคนินันท์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายดิเรก อิงคนินันท์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) หัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลเรือโท กฤษฎา เจริญพานิช (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(กฤษฎา เจริญพานิช) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ