คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 749/2491

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำพิพากษาศาลอุทธรณ์แม้จะไม่ปรากฏข้อความว่าให้ยืน ยก แก้หรือกลับ แต่ปรากฏข้อความว่าอุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น ซึ่งแสดงว่า พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั่นเองซึ่ง ถูกต้องตามมาตรา 214 ป.วิ.อาญาแล้ว
ในชั้นแรกจำเลยให้การปฏิเสธฟ้องของโจทก์ และต่อว่าผู้กระทำการสอบสวนทำการสอบสวนโดยไม่มีอำนาจตามกฎหมาย แต่ต่อมาจำเลยกลับให้การรับสารภาพว่าได้กระทำผิดตามฟ้องโจทก์ทุกประการ ขอให้ลงโทษจำเลยแต่ในสถานเบา และแยกพิพากษาคดีส่วนตัวของจำเลยให้เสร็จสิ้นไปนั้น เป็นการแสดงว่าจำเลยไม่ติดใจต่อสู้คดี ตามคำให้การฉะบับแรกนั้นแล้ว ฉะนั้นข้อต่อสู้ของจำเลยชั้นเดิมที่ว่าการสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมายจึงไม่เป็น+ที่ศาลจะร้องยกขึ้นวินิจฉัย
+จะฟังว่าพนักงานสอบสวนมีอำนาจสอบสวนหรือไม่นั้น เป็นปัญหาข้อเท็จจริง เพราะในการนี้อาจต้องพิจารณาถึงข้อบังคับกฎหมายซึ่งว่าด้วยอำนาจและหน้าที่ของตำรวจเป็นข้อประกอบด้วย ตามมาตรา 16 ป.วิ.อาญา

ย่อยาว

คดีนี้เดิมโจทก์ฟ้องนายซือพวงกับพวกเป็น ๓ สำนวน มีข้อหาว่าลักลอบนำทอง เครื่องทองรูปพรรณ และเงินตราออกนอกราชอาณาจักร์ไทย โดยมิได้เสียภาษีและมิได้รับอนุญาต ในชั้นต้นจำเลยให้การปฏิเสธและยกข้อกฎหมายขึ้นตัดฟ้องหลายประการ
ภายหลังที่ศาลอาญาสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว นายกำตง แซ่ลิ้ม กับจำเลยบางคงยื่นคำร้องมีข้อความสำคัญว่า ขอให้การรับสารภาพว่าได้กระทำผิดตามฟ้องของโจทก์ทุกประการ ขอให้ศาลลงอาญาแต่ในสถานเบา และแยกพิพากษาคดีส่วนตัวของจำเลยผู้กลับให้การรับสารภาพให้เสร็จสิ้นไปด้วย
โจทก์ไม่คัดค้าน ศาลอาญาจึงแยกพิพากษาคดีที่จำเลยรับสารภาพโดยฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยทำผิดตามฟ้อง วางโทษความผิดในบทที่หนักคือ ตาม พ.ร.บ.ควบคุมการส่งออกและการนำเข้าสินค้าบางอย่าง ๒๔๘๒ มาตรา ๙ ปรับ ๕๐๐๐ บาท ลดฐานพยายาม ๑ ใน ๓ ฐานรับสารภาพ ๑ ใน ๓ คงเหลือโทษปรับ ๒๒๒๒ บาท ๒๒ สตางค์ ของกลางริบ
นายกำตง แซ่ลิ้มผู้เดียวอุทธรณ์ว่า พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนโดยไม่มีอำนาจตามกฎหมายขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เมื่อจำเลยกลับให้การใหม่รับสภาพตามฟ้องนั้น ไม่ปรากฏว่า จำเลยได้ขอข้อตัดฟ้องในคำให้การเดิม ข้อตัดฟ้องของจำเลยในปัญหาข้อกฎหมาย จึงยังคงอยู่เป็นประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัย แล้วศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต่อไปว่า จำเลยมีบ้านเรือนอยู่ในจังหวัดพระนครและธนบุรี การกระทำผิดเกิดขึ้นที่ตำบลดอนเมือง อำเภอบางเขน จังหวัดพระนคร ร.ต.อ.เชื้อเป็นผู้ทำการสอบสวนโดยอธิบดีกรมตำรวจเป็นผู้สั่ง คำสั่งของอธิบดีกรมตำรวจในเรื่องนี้ไม่ขัดต่อกฎหมายแต่อย่างใด การสอบสวนจึงเป็นการชอบด้วยกฎหมายแล้ว อุทธรณ์นายกำตงจำเลยฟังไม่ขึ้น
นายกำตงจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้จำเลยจะฎีกาได้แต่ฉะเพาะปัญหาข้อกฎหมายเท่านั้น ฎีกาของจำเลยซึ่งอ้างว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่มีข้อความว่าให้ยืน ยก แก้ หรือกลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๑๔ ป.วิอาญานั้น เห็นว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ปรากฏข้อความว่า อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น ซึ่งแสดงว่าศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้นเอง ฎีกาของจำเลยข้อนี้จึงตกไป
ส่วนข้อที่จำเลยฎีกาอ้างว่าเป็นข้อกฎหมายว่า พนักงานสอบสวนคดีนี้ไม่มีอำนาจตามกฎหมาย เท่ากับไม่มีการสอบสวน พนักงานอัยยการจึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า แม้จำเลยจะได้ยกความข้อนี้ขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การชั้นแตกของจำเลยก็ดี แต่ต่อมาจำเลยได้กลับให้การรับสารภาพว่า ได้กระทำผิดตามฟ้องโจทก์ทุกประการ ตามคำให้การจำเลยใหม่นี้เป็นการแสดงอย่างชัดแจ้งว่า จำเลยไม่ติดใจต่อสู้คดีในข้อกฎหมายที่ได้ต่อสู้ไว้ในคำให้การฉะบับแรกนั้นแล้ว มิฉะนั้น จำเลยจะขอให้ลงโทษแต่ในสถานเบา และแยกพิพากษาคดีส่วนตัวจำเลยให้เสร็จสิ้นไปได้อย่างไร ฉะนั้นข้อต่อสู้ของจำเลยชั้นเดิมในข้อที่ว่าการสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่เป็นปัญหาที่ศาลจะยกขึ้นวินิจฉัยต่อไปอีก อนึ่งในคดีเรื่องนี้การที่จะฟังว่า เจ้าพนักงานสอบสวนมีอำนาจสอบสวนหรือไม่นั้น เป็นปัญหาข้อเท็จจริง เพราะในการนี้อาจต้องพิจารณาข้อบังคับทั้งหลาย ซึ่งว่าด้วยอำนาจและหน้าที่ของตำรวจเป็นข้อประกอบด้วย ตามป.วิ.อาญามาตรา ๑๖ เมื่อข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ไม่ปรากฎว่าอำนาจสอบสวนของพนักงานสอบสวนมิได้เป็นไปตามกฎหมายและข้อบังคับทั้งหลายอันว่าด้วยอำนาจและหน้าที่ของตำนวจในข้อใดแล้ว ก็ไม่มีข้อกฎหมายที่จะต้องวินิจฉัยว่า การสอบสวนนั้นจะใช้ได้หรือไม่
พิพากษายืน

Share