คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 748/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ข้อความตามข้อตกลงต่อท้ายสัญญาเช่าที่ดินข้อ 2 ที่ว่า”ผู้ให้เช่าสัญญาว่าเมื่อครบกำหนดอายุสัญญานี้แล้ว ผู้ให้เช่าก็จะให้ผู้เช่าได้เช่าต่อไปอีกเป็นเวลา 10 ปี ทั้งนี้โดยผู้ให้เช่าตกลงยินยอมให้ผู้เช่าเช่าที่ดินดังกล่าวแล้วในค่าเช่าเดือนละ 800บาท โดยผู้เช่ามิต้องจ่ายเงินเป็นก้อนเพิ่มเติม” นั้น เป็นคำมั่นของผู้ให้เช่า ผู้ให้เช่าตกเป็นฝ่ายลูกหนี้ที่ผู้เช่ามีสิทธิที่จะเรียกร้องบังคับเอาได้ เมื่อก่อนสัญญาเช่าสิ้นสุด โจทก์ผู้เช่าได้แจ้งความประสงค์ในการที่จะเช่าที่ดินพิพาทต่อไปอีก 10 ปี ให้แก่จำเลยผู้ให้เช่าทราบ และจำเลยได้รับแจ้งแล้วจึงต้องผูกพันตามคำมั่นของตน โดยจำเลยต้องทำสัญญาให้โจทก์เช่าที่ดินพิพาทต่อไปอีก 10 ปี.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ทำสัญญาเช่าที่ดินของจำเลยเป็นบางส่วนมีเนื้อที่ 2 ไร่ 50 ตารางวา ในอัตราค่าเช่าเดือนละ 500 บาท มีกำหนด 20 ปี และจำเลยได้ให้คำมั่นต่อโจทก์ว่า เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าแล้ว จำเลยจะให้โจทก์เช่าที่ดินนั้นต่อไปอีกเป็นเวลา 10 ปี ในอัตราค่าเช่าเดือนละ 800 บาท สัญญาเช่าดังกล่าวได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อนครบกำหนดสัญญาเช่า โจทก์ได้ขอให้จำเลยดำเนินการต่อสัญญาเช่าที่ดินตามคำมั่น แต่จำเลยปฏิเสธจึงขอบังคับจำเลยให้ไปทำการจดทะเบียนการเช่าที่ดินดังกล่าว ณสำนักงานที่ดินจังหวัดกระบี่มีกำหนด 10 ปี ในอัตราค่าเช่าเดือนละ800 บาท หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า จำเลยให้โจทก์เช่าที่ดินเพียง 1 ไร่เศษ โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าโดยต่อเติมสิ่งปลูกสร้างลงในที่ดินมากกว่าเนื้อที่ที่กำหนดในสัญญา จำเลยจึงไม่ต้องผูกพันตามคำมั่นดังฟ้องของโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ถึงแก่ความตาย ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งอนุญาตให้นายปรีดา อังสิริกุล เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่โจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยไปจดทะเบียนการเช่าให้โจทก์ตามสัญญาต่อท้ายสัญญาเช่าข้อ 2 ณ สำนักงานที่ดินจังหวัดกระบี่หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาไปจดทะเบียนของจำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่คู่ความนำสืบรับและไม่โต้เถียงกันว่า โจทก์ได้ทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทจากจำเลยมีกำหนด 20 ปี ในอัตราค่าเช่าเดือนละ 500 บาท นับแต่วันที่ 24ธันวาคม 2508 โดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามเอกสารหมาย จ.1 สัญญาเช่าดังกล่าวมีข้อตกลงต่อท้ายในข้อ 2 ว่า”ผู้ให้เช่าสัญญาว่า เมื่อครบกำหนดอายุสัญญานี้แล้ว ผู้ให้เช่าก็จะให้ผู้เช่าได้เช่าต่อไปอีกเป็นเวลา 10 ปี ทั้งนี้โดยผู้ให้เช่าตกลงยินยอมให้ผู้เช่าเช่าที่ดินดังกล่าวแล้ว ในค่าเช่าเดือนละ 800 บาทโดยผู้เช่ามิต้องจ่ายเงินเป็นก้อนเพิ่มเติม” ต่อมาวันที่ 17 ธันวาคม2528 ซึ่งเป็นเวลาก่อนครบกำหนด โจทก์แจ้งให้จำเลยไปทำสัญญาเช่าต่ออีก 10 ปี โดยนัดให้ไปจดทะเบียนการเช่าในวันที่ 23 ธันวาคม 2528จำเลยปฏิเสธที่จะต่อสัญญาเช่าให้ และเสนอขายที่ดินที่ให้เช่าแก่โจทก์ โจทก์จึงฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยคงมีว่า โจทก์มีสิทธิที่จะเช่าที่ดินของจำเลยต่อไปอีก10 ปีหรือไม่
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ข้อความตามข้อตกลงต่อท้ายสัญญาเช่าข้อ 2 ดังกล่าวข้างต้นนั้น เป็นคำมั่นของฝ่ายผู้ให้เช่าที่จะให้ผู้เช่าเลือกจะบังคับผู้ให้เช่าให้ต้องยอมทำสัญญาเช่าต่อไปอีกเป็นเวลา 10 ปีหรือไม่ ข้อตกลงนี้ผู้ให้เช่าตกเป็นฝ่ายลูกหนี้ที่ผู้เช่ามีสิทธิที่จะเรียกร้องบังคับเอาได้ เมื่อปรากฏว่าก่อนสัญญาเช่าสิ้นสุดลง โจทก์ผู้เช่าได้แจ้งความประสงค์ในการที่จะเช่าที่ดินพิพาทต่อไปอีก 10 ปี ให้แก่จำเลยผู้ให้เช่าทราบและจำเลยได้รับแจ้งแล้ว จึงต้องผูกพันตามคำมั่นของตน กรณีย่อมบังคับกันได้โดยจำเลยต้องทำสัญญาให้โจทก์เช่าที่ดินพิพาทต่อไปอีก 10 ปี…”
พิพากษายืน.

Share