แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้จำเลยจะขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา โจทก์ก็ยังมีหน้าที่นำพยานหลักฐานมาสืบให้ฟังได้ตามฟ้องของตน เมื่อทางพิจารณาไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ได้ครอบครองหรือควบคุมดูแลรถยนต์คันเกิดเหตุในขณะเกิดเหตุ คดีคงได้ความเพียงว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับรถยนต์ดังกล่าวชนเสาหินกันโค้งและรางระบาย น้ำคอนกรีตของโจทก์เสียหาย โดยรถยนต์เป็นของจำเลยที่ 2 ซึ่งได้เช่าซื้อมา ดังนี้ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดที่จำเลยที่ 1 ได้กระทำด้วย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลเป็นเจ้าของเสาหลักกันโค้งและรางระบายน้ำคอนกรีตริมทาง บริเวณทางหลวงกิโลเมตรที่106×900 ทางหลวงหมายเลข 1035 ตอนวังเหนือแม่ขะจาน เมื่อวันที่23 กันยายน 2527 จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์บรรทุกซึ่งจำเลยที่ 2เช่าซื้อมาจากบริษัทโค้วยู่ฮะมอเตอร์ จำกัด บรรทุกขิงแล่นไปด้วยความเร็วสูงชนเสาหลักกันโค้ง 3 ต้น และรางระบายน้ำคอนกรีตยาว33 เมตร ซึ่งอยู่ที่บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 106×900 ของโจทก์เสียหายใช้การไม่ได้ คิดค่าเสาหลักกันโค้งเป็นเงิน 750 บาท และค่ารางระบายน้ำเป็นเงิน 9,900 บาท รวมเป็นเงิน 10,650 บาทจำเลยที่ 2 เป็นผู้ครอบครองรถยนต์คันดังกล่าวซึ่งเป็นยานพาหนะอันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกล จึงต้องร่วมกันกับจำเลยที่ 1รับผิดชอบเพื่อการเสียหายอันเกิดแต่ยานพาหนะนั้น จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันทำละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน12,358.43 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย สำหรับจำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาเฉพาะข้อกฎหมายตามฎีกาของโจทก์ว่า ตามคำฟ้องและทางพิจารณาถือได้หรือไม่ว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน84-0707 กรุงเทพมหานคร ซึ่งจะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1ผู้กระทำละเมิด เห็นว่า แม้ปรากฏตามคำบรรยายฟ้องใจความว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้เช่าซื้อและครอบครองรถยนต์คันดังกล่าว และจำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ไม่ได้ต่อสู้ว่าจำเลยที่ 2 ไม่ใช่ผู้ครอบครองรถยนต์คันที่จำเลยที่ 1 ขับก็ตามแต่โจทก์ก็ยังมีหน้าที่จะต้องนำพยานหลักฐานมาสืบให้ศาลเห็นว่าข้ออ้างตามฟ้องของโจทก์มีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย ในคดีนี้คงได้ความตามทางพิจารณาว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับรถยนต์บรรทุกคันที่เกิดเหตุชนหลักเสาหินกันโค้งและรางระบายน้ำคอนกรีตของโจทก์เสียหายและรถยนต์บรรทุกดังกล่าวเป็นของจำเลยที่ 2เช่าซื้อมาจากบริษัทโค้วยู่ฮะมอเตอร์ จำกัด ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 572 จำเลยที่ 2 คงมีสิทธิที่จะครอบครองใช้ประโยชน์รถยนต์คันดังกล่าวระหว่างเช่าซื้อเท่านั้นเมื่อไม่ปรากฏตามทางพิจารณาว่าจำเลยที่ 2 ครอบครองหรือควบคุมดูแลรถยนต์ในขณะเกิดเหตุตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 437 จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดของจำเลยที่ 1 ด้วย
พิพากษายืน.