คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7475/2553

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ร้อยตำรวจเอก ส.เป็นข้าราชการตำรวจซึ่งมียศตั้งแต่ชั้นนายร้อยตำรวจตรีขึ้นไป มีอำนาจสอบสวนความผิดอาญาซึ่งได้เกิดขึ้นภายในเขตอำนาจของตนตาม ป.วิ.อ.มาตรา 18 วรรคหนึ่ง แม้ระหว่างสอบสวนจะมีพนักงานสอบสวนซึ่งไม่มีอำนาจสอบสวนร่วมนั่งฟังอยู่ด้วยก็ไม่ทำให้การสอบสวนนั้นเสียไป เมื่อพันตำรวจโท น. ได้รับคำสั่งแต่งตั้งให้เป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ พันตำรวจโท น. ย่อมมีอำนาจสอบสวนก่อนร้อยตำรวจเอก ส. โอนสำนวนการสอบสวน และหลังจากนั้นร้อยตำรวจเอก ศ. ยังคงมีอำนาจสอบสวนเพื่อช่วยเหลือพันตำรวจโท น. ได้ ดังนั้น การสอบสวนคดีนี้ชอบด้วยกฎหมาย พนักงานอัยการมีอำนาจฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 120

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91, 288, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ริบมีดคัทเตอร์ มีดเหล็กปลายตัดและปลอกกระสุนปืนลูกซองของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นางนุ้ย มารดาของนางสาวนฤมล ผู้ตายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตเฉพาะความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) (5) ประกอบมาตรา 83, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 6 เดือน ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต เป็นการกระทำกรรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 4 เดือน ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและโดยกระทำทารุณโหดร้าย ให้ลงโทษประหารชีวิต เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงประหารชีวิตสถานเดียว ริบมีดคัทเตอร์ มีดเหล็กปลายแหลมและปลอกกระสุนปืนลูกซองของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า เฉพาะความผิดต่อชีวิตจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4) คำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามในทุกกระทงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (1) ความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ให้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นและเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 4 เดือน ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 2 เดือน 20 วัน เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงลงโทษจำคุกตลอดชีวิตสถานเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) นอกจากที่ให้แก้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า การสอบสวนคดีนี้ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จำเลยอ้างว่า ร้อยตำรวจเอกสุเทียน ไม่มีอำนาจสอบสวนเนื่องจากเป็นคดีอุกฉกรรจ์ พนักงานสอบสวนต้องมียศตั้งแต่ระดับสารวัตรขึ้นไป การสอบสวนกระทำต่อหน้าพันตำรวจโทอำภณ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรนาทวีนอกเขตอำนาจ พันตำรวจโทนิพล ได้รับคำสั่งแต่งตั้งให้เป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบแต่ไม่มีอำนาจสอบสวนก่อนร้อยตำรวจเอกสุเทียนโอนสำนวนการสอบสวนและหลังจากนั้นร้อยตำรวจเอกสุเทียนไม่มีอำนาจสอบสวน เห็นว่า ร้อยตำรวจเอกสุเทียนเป็นข้าราชการตำรวจซึ่งมียศตั้งแต่ชั้นนายร้อยตำรวจตรีขึ้นไปมีอำนาจสอบสวนความผิดอาญาซึ่งได้เกิดขึ้นภายในเขตอำนาจของตนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 18 วรรคหนึ่ง แม้ระหว่างสอบสวนจะมีพนักงานสอบสวนซึ่งไม่มีอำนาจสอบสวนร่วมนั่งฟังอยู่ด้วยก็ไม่ทำให้การสอบสวนนั้นเสียไป เมื่อพันตำรวจโทนิพล ได้รับคำสั่งแต่งตั้งให้เป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ พันตำรวจโทนิพลย่อมมีอำนาจสอบสวนก่อนร้อยตำรวจเอกสุเทียนโอนสำนวนการสอบสวน และหลังจากนั้นร้อยตำรวจสุเทียนยังคงมีอำนาจสอบสวนเพื่อช่วยเหลือพันตำรวจโทนิพลได้ ดังนั้น การสอบสวนคดีนี้ชอบด้วยกฎหมาย พนักงานอัยการมีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาควาามอาญา มาตรา 120 ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายว่า จำเลยกระทำความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 หรือไม่ โจทก์และโจทก์ร่วมมีนางสาวแสงเดือน พนักงานบริษัทไทยประกันชีวิต จำกัด สาขาสตูล เป็นพยานเบิกความว่า วันที่ 10 ธันวาคม 2546 พยานเดินทางไปจังหวัดยะลาเพื่อรับคำขอเอาประกันภัยรายงวดจากจำเลยตามสำเนาเอกสารหมาย จ.25 สัญญาประกันชีวิตนางสาวนฤมล ผู้ตายรวมการคุ้มครองภัยถูกฆ่า จำนวนเงินเอาประกันภัย 600,000 บาท จำเลยเป็นผู้รับประโยชน์ ผู้ตายลงชื่อผู้ขอเอาประกันภัยแต่พยานไม่พบผู้ตาย ต่อมาบริษัทไทยประกันชีวิต จำกัด ออกกรมธรรม์ให้ตามสำเนาเอกสารหมาย จ.28 นายการี เป็นพยานเบิกความว่า วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2547 เวลาประมาณ 11 นาฬิกา จำเลยขอยืมรถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุ สีแดง จากจังหวัดยะลาบอกว่าจะนำไปบรรทุกพันธุ์ยางพาราที่จังหวัดปัตตานี พยานเข้านอนเวลา 21 นาฬิกา พยานตื่นนอนเห็นรถยนต์กระบะจอดอยู่หน้าบ้าน นายประมวล และนายเลื่อน เป็นพยานเบิกความทำนองเดียวกันว่า วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2547 เวลาประมาณ 15 นาฬิกา ขณะพยานกับพวกนั่งดื่มสุราอยู่หน้าบ้านนายประมวล จำเลยขับรถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุ สีแดง มาถามหานายพิเชษฐ์ เพื่อนจำเลยซึ่งมีบ้านอยู่ห่างประมาณ 300 เมตร พยานบอกว่านายพิเชษฐ์ไม่อยู่และชวนจำเลยดื่มสุรา พยานถามจำเลยว่ามากันกี่คน จำเลยบอกว่ามากับแฟน พยานบอกให้พาแฟนลงมา จำเลยพาผู้หญิงคนหนึ่งลงมา ต่อมานายประมวลจำได้ว่าผู้ตายสวมกางเกงลักษณะเดียวกับผู้หญิงคนนั้น และนายเลื่อนจำได้ว่าผู้ตายคือผู้หญิงคนนั้น จำเลยกับแฟนนั่งอยู่สักครู่บอกว่าจะรีบไปที่ว่าการอำเภอ นางสมพิศ เจ้าหน้าที่ปกครอง 5 ที่ว่าการอำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา เป็นพยานเบิกความว่า วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2547 เวลาประมาณ 16 นาฬิกา จำเลยและผู้ตายมาที่ว่าการอำเภอสะเดายื่นคำร้องเพื่อจดทะเบียนสมรสตามสำเนาคำร้องขอจดทะเบียนและบันทึกทะเบียนครอบครัวเอกสารหมาย จ.15 พยานลงชื่อเป็นพยานในทะเบียนสมรสตามสำเนาเอกสารหมาย จ.16 นายวิไลย์ เป็นพยานเบิกความว่าคืนนั้นเวลาประมาณ 20 นาฬิกา ขณะพยานอยู่บ้านที่ตำบลเขามีเกียรติ อำเภอสะเดา คนงานกรีดยางโทรศัพท์มาบอกว่าได้ยินเสียงปืนดังประมาณ 2 นัด พยานขับรถจักรยานยนต์ออกไปดูในสวนยางพาราพบศพผู้ตาย ร้อยตำรวจเอกสุเทียนเบิกความว่าพยานไปตรวจสถานที่เกิดเหตุพบขวดเบียร์ 2 ใบ รองเท้าแตะ 1 คู่ ถุงมือ 1 คู่ หมวกไหมพรม 1 ใบ เศษบุหรี่และใบจาก เศษเส้นผม 2 กระจุกในอุ้งมือผู้ตาย มีดคัทเตอร์ 1 เล่ม และมีดเหล็กปลายตัด 1 เล่ม ตามบัญชีของกลางคดีอาญาเอกสารหมาย จ.42, จ.43 และภาพถ่ายหมาย จ.45 พยานสอบสวนจำเลยตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.48 ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลย ชั้นสอบสวนแจ้งข้อหาว่า ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จำเลยให้การปฏิเสธตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.50 และพันตำรวจโทนิพลเบิกความว่า จำเลยบอกว่าเป็นผู้กระทำความผิดขอให้การรับสารภาพ พยานให้จำเลยเขียนบันทึกคำรับสารภาพตามภาพถ่ายหมาย จ.53 และเอกสารหมาย จ.54 พยานพาจำเลยไปนำชี้ที่เกิดเหตุและถ่ายรูปไว้ตามภาพถ่ายหมาย จ.55 และ จ.56 จำเลยให้การว่าใช้อาวุธปืนลูกซองยิงผู้ตาย 2 นัด นายเราะห์มันใช้มีดฟันและแทงผู้ตาย จำเลยพาพยานไปเอาปลอกกระสุนปืนลูกซอง 1 ปลอก ตามภาพถ่ายหมาย จ.57 และพาไปชี้ถังขยะข้างวัดปริงที่นำเสื้อยืดไปทิ้งตามภาพถ่ายหมาย จ.23 พยานแจ้งข้อหาเพิ่มเติมว่าร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยทารุณโหดร้าย มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำเลยให้การปฏิเสธตามบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมเอกสารหมาย จ.59 จำเลยเบิกความว่า วันเกิดเหตุจำเลยขับรถจักรยานยนต์จากจังหวัดยะลาเพื่อพบผู้ตายที่อำเภอสะเดา เวลาประมาณ 13 นาฬิกา หลังจากรับประทานอาหารเวลาประมาณ 14 นาฬิกา จำเลยพาผู้ตายไปที่ว่าการอำเภอสะเดาจดทะเบียนสมรสเสร็จเวลาปรามาณ 16 นาฬิกา ผู้ตายบอกว่าจะไปร้านเสริมสวย จำเลยจะรีบนำอะไหล่รถกลับไปซ่อมให้ลูกค้าจึงแยกกันหน้าที่ว่าการอำเภอ จำเลยเขียนบันทึกคำรับสารภาพเพราะถูกเจ้าพนักงานตำรวจใช้ไฟฟ้าช็อตและทำร้ายร่างกาย เห็นว่า ได้ความว่าวันเกิดเหตุจำเลยขอยืมรถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุ สีแดง ของนายการี ขับออกจากจังหวัดยะลาและไม่ทราบเวลาแน่นอนที่จำเลยขับกลับไปคืน แต่หลังเวลา 21 นาฬิกา ที่นายการีเข้านอนตามคำเบิกความนายการีและบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.19 ซึ่งนายการีเป็นลูกจ้างจำเลยไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกัน นอกจากนั้นนายประมวลและนายเลื่อนซึ่งไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเบิกความยืนยันและให้การตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.7, จ.8 และ จ.11 ว่า จำเลยขับรถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุ สีแดง มาถามหาเพื่อนก่อนไปที่ว่าการอำเภอ จำเลยและผู้ตายจดทะเบียนสมรสกันวันนั้น นายทะเบียนสอบถามคู่สมรสเวลา 16.02 นาฬิกา ตามสำเนาทะเบียนสมรสเอกสารหมาย จ.16 วันดังกล่าวเป็นวันมงคลคู่สมรสทั่วไปจะไปรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน ข้อเท็จจริงเป็นไปไม่ได้ที่หลังจากจดทะเบียนสมรสจำเลยและผู้ตายต่างแยกกันหน้าที่ว่าการอำเภอ ผู้ตายขึ้นรถยนต์กระบะซึ่งมีผู้ชาย 2 คน และผู้หญิง 2 คน อยู่ในรถมาจอดรอโดยจำเลยไม่รู้จัก และผู้ตายไม่บอกว่าไปที่ใดตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.48 ซึ่งจำเลยให้การในฐานะพยาน ทั้งเป็นไปไม่ได้ที่ผู้ตายจะนั่งรถยนต์กระบะซึ่งมีผู้ชาย 2 คน และผู้หญิง 2 คน อยู่ในรถมาหาหน้าที่ว่าการอำเภอ จำเลยขับรถกระบะคันนั้นซึ่งมีบุคคลทุกคนไปพบนายประมวลและนายเลื่อน แล้วกลับมาที่ว่าการอำเภอสะเดาขึ้นไปจดทะเบียนสมรสกันเพียง 2 คน หลังจากนั้นผู้ตายกลับไปขึ้นรถยนต์กระบะโดยไม่บอกว่าไปที่ใดตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.50 ซึ่งจำเลยให้การในฐานผู้ต้องหา ผู้ตายถูกฆาตกรรมคืนนั้นเวลาประมาณ 20 นาฬิกา ตามคำเบิกความนายวิไลย์และบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.3 ที่นายวิไลย์ได้ยินเสียงปืนและพบศพผู้ตายในพื้นที่อำเภอสะเดาหลังจากจดทะเบียนสมรส 3 ชั่วโมงเศษ ก่อนหน้านั้นไม่ถึง 2 เดือน จำเลยยื่นคำขอเอาประกันชีวิตผู้ตายรวมการคุ้มครองภัยถูกฆ่าจำนวนเงินเอาประกันภัย 600,000 บาท โดยจำเลยเป็นผู้รับประโยชน์ และคำขอมีเพียงลายมือชื่อผู้ตายขอเอาประกันภัยตามสำเนาเอกสารหมาย จ.25 ดังนั้น ข้อเท็จจริงเป็นไปไม่ได้ที่หลังจากจดทะเบียนสมรสผู้ตายจะไปกับบุคคลอื่นและถูกฆ่าตายในสวนยางพาราซึ่งเป็นที่มืดเปลี่ยวอยู่ห่างจากถนนสายคลองหลวง-นาทวี ประมาณ 300 เมตร ตามแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.1 และภาพถ่ายหมาย จ.2 เว้นแต่ขณะเกิดเหตุผู้ตายจะยังคงอยู่กับจำเลย พยานพฤติเหตุแวดล้อมกรณีของโจทก์และโจทก์ร่วมที่นำสืบมามีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้ว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ร่วมกันฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเพื่อหวังเงินประกันชีวิต สอดคล้องกับที่จำเลยเขียนบันทึกคำรับสารภาพตามเอกสารหมาย จ.54 รวม 2 หน้า หลังจากจำเลยตื่นนอนในตอนเช้าและอาบน้ำแล้วมีสีหน้าสดชื่นตามภาพถ่ายหมาย จ.53 ซึ่งมีผ้าเช็ดตัวคล้องคอ จำเลยอธิบายรายละเอียดพฤติการณ์การกระทำความผิดตลอดจนพาพนักงานสอบสวนไปนำชี้ที่เกิดเหตุตามภาพถ่ายหมาย จ.55 และ จ.56 โดยภาพถ่ายหมาย จ.55 จำเลยแสดงท่ายื่นมือขวาระดับบ่าตั้งฉากกับลำตัวเหยียดนิ้วชี้และนิ้วกลางตรงกำนิ้วหัวแม่มือ นิ้วนางและนิ้วก้อยลักษณะเหมือนถืออาวุธปืนยิงผู้ตายที่ศรีษะด้านซ้ายขณะยืนหันหลังตามรายงานการชันสูตรศพเอกสารหมาย จ.21 ข้อ 8 และพาพนักงานสอบสวนไปเอาปลอกกระสุนปืนลูกซองที่จำเลยโยนทิ้งข้างถนน ตามภาพถ่ายหมาย จ.57 อันเป็นการรับสารภาพและแสดงท่าโดยสมัครใจสำนึกในการกระทำความผิดก่อนพนักงานสอบสวนจะนำตัวจำเลยไปยื่นคำร้องขอฝากขังครั้งที่ 1 วันที่ 8 มีนาคม 2547 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาลงโทษจำเลยฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้นทุกข้อ
อนึ่ง จำเลยเป็นผู้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย จำเลยจึงกระทำความผิดฐานมีอาวุธปืนของผู้อื่นและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และพาอาวุธติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่มีเหตุสมควรที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่า จำเลยกระทำความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนของผู้อื่นและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและไม่มีเหตุสมควรไม่ถูกต้องเห็นควรแก้ไขให้ถูกต้อง”
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่ปรับบทว่าจำเลยกระทำความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธปืนของผู้อื่นและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและไม่มีเหตุสมควรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9

Share