แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยทั้งสองใช้อำนาจตามประมวลรัษฎากร มาตรา 12ประกาศยึดทรัพย์ของโจทก์โดยผิดกฎหมาย เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2532ทำให้โจทก์ไม่สามารถจดทะเบียนขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่ผู้ซื้อได้ ทำให้เกิดความเสียหายตั้งแต่วันนั้น หาใช่โจทก์เพิ่งจะได้รับความเสียหายในวันที่โจทก์อ้างว่าได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้จะซื้อไม่ จึงเริ่มนับอายุความตั้งแต่วันที่ 18 มกราคม 2532
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2531 โจทก์ทำหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายหรือสัญญาวางมัดจำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้ต่อมาวันที่ 18 มกราคม 2532 จำเลยทั้งสองร่วมกันจงใจหรือประมาทเลินเล่อก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ กล่าวคือ จำเลยที่ 2 ได้ใช้อำนาจตามมาตรา 12 แห่งประมวลรัษฎากร ประกาศยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ดังกล่าวข้างต้นโดยผิดกฎหมาย ทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ โดยโจทก์ไม่สามารถไปจดทะเบียนโอนขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวให้แก่ผู้จะซื้อได้ จึงต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้จะซื้อเป็นเงิน 50,200 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระค่าเสียหายจำนวน 50,200 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ เพราะโจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2532 จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันจงใจหรือประมาทเลินเล่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ แต่โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2534 พ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่โจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนคดีของโจทก์จึงขาดอายุความ ทั้งการที่จำเลยทั้งสองใช้อำนาจตามประมวลรัษฎากร มาตรา 12 ประกาศยึดทรัพย์สินของโจทก์เนื่องจากโจทก์ยื่นชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไม่ถูกต้อง เจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 จึงได้ทำการประเมินภาษีของโจทก์ใหม่ให้ถูกต้องโจทก์ทราบหนี้ภาษีดังกล่าวแล้วแต่โจทก์ไม่ยอมชำระภายในกำหนดจึงเป็นภาษีอากรค้าง จำเลยทั้งสองมีอำนาจตามประมวลรัษฎากรมาตรา 12 ที่จะยึดทรัพย์สินของโจทก์ออกขายทอดตลาดเพื่อให้ได้รับชำระเงินค่าภาษีอากรค้างได้ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ในวันชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาข้อกฎหมายเบื้องต้นตามคำร้องของจำเลยทั้งสอง จึงมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลยแล้ววินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2532 จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ แต่โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2534 พ้นกำหนด1 ปี นับแต่วันที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยทั้งสองกระทำละเมิดต่อโจทก์ คดีของโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 448 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ความเสียหายของโจทก์ตามที่บรรยายมาในฟ้องได้เกิดขึ้นแล้วตั้งแต่วันที่ทรัพย์สินของโจทก์ถูกจำเลยทั้งสองประกาศยึดทรัพย์ เพราะโจทก์ไม่อาจจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินของโจทก์ได้อีก ความเสียหายของโจทก์จึงเกิดขึ้นตั้งแต่วันนั้นหาใช่นับแต่วันที่โจทก์อ้างว่าได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้จะซื้อไม่ เมื่อในวันที่ 18 มกราคม 2532 อันเป็นวันที่โจทก์อ้างว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ได้รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดจึงต้องนับแต่วันนั้น แต่โจทก์นำคดีมาฟ้องวันที่ 7 พฤษภาคม 2534 ซึ่งพ้นกำหนด 1 ปี คดีโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคแรก พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่า การนับอายุความของศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะการนับอายุความละเมิดต้องนับแต่วันที่เกิดความเสียหายแก่โจทก์ แม้จำเลยทั้งสองจะจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำผิดกฎหมายแล้ว หากยังไม่ทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ โจทก์ก็ยังไม่มีสิทธิอะไรจะเรียกร้องค่าเสียหาย ต้องเริ่มนับแต่วันที่เกิดความเสียหายแก่โจทก์คือวันที่ 31 พฤษภาคม2533 อันเป็นวันที่โจทก์ได้ชำระเงินค่าเสียหายให้แก่ผู้จะซื้อไปคดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความนั้น ฟ้องโจทก์กล่าวอ้างว่า เมื่อวันที่18 มกราคม 2532 จำเลยทั้งสองจงใจหรือประมาทเลินเล่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ โดยจำเลยทั้งสองใช้อำนาจตามประมวลรัษฎากรมาตรา 12 ประกาศยึดทรัพย์ของโจทก์โดยผิดกฎหมาย เป็นเหตุให้โจทก์ไม่สามารถจดทะเบียนขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่ผู้จะซื้อได้โจทก์ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้จะซื้อเป็นเงิน 50,200 บาทเห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวมาเป็นการกล่าวอ้างว่า จำเลยทั้งสองกระทำละเมิดทำให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของโจทก์แล้วตั้งแต่วันที่จำเลยทั้งสองประกาศยึดทรัพย์ของโจทก์ เพราะทำให้โจทก์ไม่สามารถจดทะเบียนขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่ผู้จะซื้อได้ตั้งแต่วันนั้น หาใช่ว่าโจทก์เพิ่งจะได้รับความเสียหายในวันที่โจทก์อ้างว่าชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้จะซื้อไม่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเกี่ยวกับการนับอายุความละเมิดว่าคดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว และพิพากษามานั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน