คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1345/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญากู้ เมื่อฟังได้ว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์และทำสัญญากู้ตามฟ้อง มูลหนี้จะเป็นการกู้ยืมเงินสดหรือเงินที่ค้างชำระในการซื้อขายรถยนต์ก็เป็นหนี้ที่ชอบด้วยกฎหมายศาลพิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามสัญญากู้นั้นได้ ไม่เป็นการนอกฟ้อง ดอกเบี้ยก่อนทำสัญญากู้ที่ตกลงกันให้คิดจากค่างวดที่ค้างชำระตามสัญญาซื้อขายนั้นมีลักษณะเป็นค่าเสียหาย ไม่ใช่ดอกเบี้ยจากการกู้ยืม จึงไม่ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา การนำสืบการใช้เงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 653 วรรคสองนั้นหมายถึงต้นเงิน ไม่หมายความถึงดอกเบี้ย ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ โจทก์มิได้อุทธรณ์ในปัญหานี้ ทั้งมิได้มีคำขอมาในอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ได้ เพราะการที่ศาลจะให้ฝ่ายใดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมนั้นเป็นดุลพินิจของศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 เมื่อคดียังไม่ถึงที่สุด และแม้คู่ความอีกฝ่ายจะมิได้ขอ ศาลก็มีอำนาจใช้ดุลพินิจตามที่เห็นสมควรได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2526 จำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์ 53,130 บาท อัตราดอกเบี้ยตามกฎหมายชำระดอกเบี้ยทุกเดือนกำหนดชำระคืนภายในวันที่ 24 ตุลาคม 2527 นับแต่วันกู้ยืมจำเลยไม่เคยชำระดอกเบี้ยและเงินต้นแก่โจทก์เลย โจทก์ทวงถามแล้วแต่จำเลยเพิกเฉย จำเลยค้างชำระดอกเบี้ยเป็นเวลา 1 ปี 5 เดือน 15 วันในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีเป็นเงิน 5,810 บาท รวมกับเงินต้นเป็นเงิน 58,940 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 58,940 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 53,130 บาทนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนถึงวันชำระเสร็จให้แก่โจทก์ จำเลยให้การว่าจำเลยไม่ได้กู้ยืมเงินตามฟ้อง เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม2523 โจทก์ได้นำรถยนต์กระบะ 1 คัน มาขายให้แก่จำเลยในราคา70,000 บาท ชำระในวันทำสัญญา 10,000 บาท ที่เหลือชำระเดือนละ3,500 บาท ทุกวันที่ 27 ของเดือน จำเลยได้ผ่อนชำระเรื่อยมาหากงวดไหนไม่ได้ชำระโจทก์จะคิดดอกเบี้ยร้อยละ 5 ของต้นเงินที่ค้างชำระไปด้วยจนถึงวันที่ 24 ตุลาคม 2526 โจทก์จำเลยได้คิดบัญชีเงินที่ค้างชำระของแต่ละงวดรวมกับดอกเบี้ยแล้วจำเลยค้างชำระอยู่53,130 บาท โจทก์จำเลยจึงได้ทำสัญญากู้ท้ายฟ้อง จากนั้นจำเลยไม่ได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์อีกเลย จนถึงวันที่ 18 พฤษภาคม 2527ได้มีการคิดดอกเบี้ยในต้นเงินที่ค้างจำเลยได้ชำระ 3,400 บาทค้างชำระอีก 12,530 บาท จึงได้มีการทำสัญญากู้อีก 1 ฉบับ ตามที่โจทก์นำมาฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งดำที่ 237/2527 ของศาลชั้นต้นสัญญากู้ยืมที่โจทก์นำมาฟ้องคดีนี้ จึงไม่มีมูลหนี้ขอให้ยกฟ้องศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 53,130 บาท ให้แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 24ตุลาคม 2526 จนถึงวันชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยก่อนฟ้องไม่เกิน5,810 บาท จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงตามที่ศาลล่างทั้งสองรับฟังมาเป็นยุติว่า จำเลยค้างชำระค่าซื้อรถยนต์จากโจทก์เป็นเงิน28,500 บาท โจทก์คิดดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อเดือนของเงินที่ค้างชำระแต่ละงวดรวมกับเงินต้นเป็นเงิน 53,130 บาท โจทก์ให้จำเลยทำสัญญากู้ไว้ตามฉบับที่ฟ้อง มีปัญหาตามฎีกาจำเลยว่า โจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์โดยตรงตามฟ้องต้องพิพากษายกฟ้องหรือไม่เห็นว่า โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญากู้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์และทำสัญญากู้เงินตามฟ้อง มูลหนี้จะเป็นการกู้ยืมเงินสดหรือเงินที่ค้างชำระในการซื้อขายรถยนต์ก็เป็นหนี้ที่ชอบด้วยกฎหมาย และสัญญากู้มีผลบังคับได้ ไม่เป็นการนอกฟ้อง ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยชำระเงินตามสัญญากู้นั้นได้ ที่จำเลยยอมเสียดอกเบี้ยเงินค่ารถยนต์ที่ค้างชำระร้อยละ 5 ของแต่ละงวดให้โจทก์นั้นมีลักษณะเป็นค่าเสียหาย ไม่ใช่ดอกเบี้ยจากการกู้ยืมเงิน จึงไม่ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา
ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การชำระดอกเบี้ย 3,400 บาท จำเลยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใด ลงลายมือชื่อโจทก์มาแสดง หรือแทงเพิกถอนลงในเอกสาร ต้องห้ามมิให้นำสืบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคสองนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย เพราะการนำสืบการใช้เงินตามมาตราดังกล่าวนั้นหมายถึงต้นเงินเท่านั้น ไม่หมายความถึงดอกเบี้ย แต่การนำสืบถึงการชำระดอกเบี้ยดังกล่าว จำเลยมีแต่ตัวเองเป็นพยานเท่านั้นไม่มีพยานอื่นสนับสนุน จึงฟังไม่ได้ว่าชำระดอกเบี้ยแล้ว
จำเลยฎีกาว่า ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับโจทก์มิได้อุทธรณ์ในปัญหานี้ ทั้งมิได้มีคำขอมาในอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์เป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า การที่ศาลจะพิพากษาให้ฝ่ายใดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมนั้นเป็นดุลพินิจของศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 เมื่อคดียังไม่ถึงที่สุด ศาลที่พิพากษาย่อมใช้ดุลพินิจตามที่เห็นสมควรได้”
พิพากษายืน

Share