คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 745/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ.2530มาตรา26วรรคหนึ่งโจทก์จะต้องยื่นคำฟ้องภายใน1ปีนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยของรัฐมนตรีซึ่งตามมาตรา25วรรคสองให้รัฐมนตรีวินิจฉัยให้เสร็จสิ้นภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำอุทธรณ์แต่หากรัฐมนตรีมิได้วินิจฉัยให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดเวลาดังกล่าวก็ให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเสียภายใน1ปีนับแต่วันพ้นกำหนดหกสิบวันนับแต่วันที่รัฐมนตรีได้รับคำอุทธรณ์คดีนี้รัฐมนตรีมิได้วินิจฉัยคำอุทธรณ์ของโจทก์ให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดเวลาตามมาตรา25วรรคสองโจทก์ต้องยื่นคำฟ้องภายใน1ปีนับแต่วันที่6ตุลาคม2533อันเป็นวันพ้นกำหนดเวลาวินิจฉัยอุทธรณ์ตามมาตรา25วรรคสองโจทก์ยื่นคำฟ้องคดีนี้วันที่24มกราคม2535อำนาจในการฟ้องคดีของโจทก์จึงเป็นอันสิ้นไปตามมาตรา26แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ.2530

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 66622 ที่ถูกเวนคืนเพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 343สายคลองตัน-ลาดกระบัง จำเลยทั้งสี่กำหนดค่าทดแทนให้โจทก์รวม 306,021.53 บาท ขอให้จำเลยทั้งสี่ชำระค่าทดแทนแก่โจทก์อีก 1,663,978.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า โจทก์จะต้องฟ้องคดีภายใน 1 ปี นับแต่วันที่พ้นกำหนดเวลาวินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสร็จสิ้น คดีโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 เพราะจำเลยดังกล่าวมิได้โต้แย้งสิทธิโจทก์คงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 ในฐานะอธิบดีกรมทางหลวงซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่เวนคืน จำเลยที่ 4 กำหนดเงินค่าทดแทนให้โจทก์ต่ำไป เห็นสมควรกำหนดค่าทดแทนสำหรับที่ดินที่ถูกเวนคืนทั้งหมดเป็นเงิน 1,005,000 บาท หักกับเงินที่จำเลยที่ 3 และที่ 4กำหนดให้โจทก์แล้วคงให้โจทก์ได้รับเพิ่มอีก 701,835 บาท พิพากษาให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 ร่วมกันชำระเงินค่าทดแทนเพิ่มจำนวน701,835 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2
จำเลยที่ 3 และที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 และที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาแรกเห็นสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่าสิทธิของโจทก์ที่จะฟ้องคดีนี้สิ้นไปแล้วหรือไม่ เห็นว่าพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530มาตรา 26 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ในกรณีที่ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนยังไม่พอใจในคำวินิจฉัยของรัฐมนตรี ตามมาตรา 25 หรือในให้มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลได้ภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยของรัฐมนตรีหรือนับแต่วันที่พ้นกำหนดเวลาดังกล่าวแล้วแต่กรณี” ดังนั้นหากโจทก์ประสงค์จะฟ้องคดีต่อศาล โจทก์จะต้องยื่นคำฟ้องเสียภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยของรัฐมนตรี ซึ่งตามมาตรา 25 วรรคสอง บัญญัติว่า ให้รัฐมนตรีวินิจฉัยให้เสร็จสิ้นภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคำอุทธรณ์แต่หากรัฐมนตรีมิได้วินิจฉัยให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดเวลาดังกล่าวก็ให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเสียภายใน 1 ปี นับแต่วันพ้นกำหนดหกสิบวันนับแต่วันที่รัฐมนตรีได้รับคำอุทธรณ์ คดีนี้รัฐมนตรีมิได้วินิจฉัยคำอุทธรณ์ของโจทก์ให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดเวลา ตามมาตรา 25 วรรคสองคือภายในวันที่ 5 ตุลาคม 2533 โดยเพิ่งจะแจ้งผลการพิจารณาอุทธรณ์ให้โจทก์ทราบเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2534 นับเป็นระยะเวลาหลังจากที่โจทก์ยื่นอุทธรณ์กว่า 5 เดือน โจทก์จึงต้องยื่นคำฟ้องเสียภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ 6 ตุลาคม 2533 อันเป็นวันพ้นกำหนดเวลาวินิจฉัยอุทธรณ์ตามมาตรา 25 วรรคสอง โจทก์เพิ่งมายื่นคำฟ้องคดีนี้วันที่ 24 มกราคม 2535 อำนาจในการฟ้องคดีของโจทก์จึงเป็นอันสิ้นไปตามมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ. 2530 ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของจำเลยที่ 3 และที่ 4อีกต่อไป
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 และที่ 4เสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share