คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6403/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่ศาลจะอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องหรือไม่เป็นดุลพินิจของศาลที่จะพิจารณาข้อเท็จจริงจากท้องสำนวนประกอบคำร้องขอถอนฟ้องและคำคัดค้านโดยคำนึงถึงเหตุผลและความจำเป็นว่าสมควรหรือไม่และเป็นการถอนฟ้องไปเพื่อจะฟ้องใหม่โดยแก้ไขฟ้องเดิมที่บกพร่องอันเป็นการเอาเปรียบในเชิงคดีกับอีกฝ่ายหนึ่งหรือไม่ จำเลยให้การต่อสู้คดีประการหนึ่งว่าโจทก์มิได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินตามฟ้องเพราะได้เวนคืนที่ให้แก่จำเลยที่1แล้วจึงไม่มีอำนาจฟ้องซึ่งโจทก์ก็ได้เสนอประเด็นข้อพิพาทนี้ต่อศาลแต่ในวันนัดชี้สองสถานศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้และตามคำร้องขอถอนฟ้องก็อ้างเหตุว่าเพื่อนำคดีมาฟ้องใหม่ให้รวมถึงประเด็นที่เกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่ดินด้วยและเป็นเวลาหลังชี้สองสถานซึ่งโจทก์ไม่สามารถแก้ไขคำฟ้องได้แสดงว่าโจทก์ถอนฟ้องไปเพื่อจะแก้ไขฟ้องเดิมที่บกพร่องอันอาจทำให้จำเลยทั้งสามเสียเปรียบในการต่อสู้คดีศาลจึงชอบที่จะไม่อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่12769 จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลมีอธิบดีกรมทางหลวงเป็นเจ้าพนักงานผู้รับผิดชอบบริหารราชการจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นเจ้าพนักงานในสังกัดจำเลยที่ 1 โจทก์ประสงค์รังวัดแบ่งแยกที่ดินของโจทก์ดังกล่าวออกเป็นแปลงย่อยเพื่อจำหน่ายให้ผู้อื่น จึงยื่นคำขอรังวัดต่อพนักงานที่ดิน ซึ่งได้นัดโจทก์ไปทำการรังวัดโดยสำนักงานที่ดินได้มีหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ 2 ไประวังแนวเขตเนื่องจากที่ดินของโจทก์ติดกับถนนสายธนบุรี-ปากท่อ และจำเลยที่ 2 ได้มอบหมายให้จำเลยที่ 3 มาระวังแนวเขตที่ดินแทนนัดแรกเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม2536 จำเลยที่ 3 ไม่ไประวังแนวเขตอ้างว่าโจทก์ไม่ไปรับจำเลยที่ 3 ทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์ต้องยื่นคำร้องขอรังวัดเป็นครั้งที่ 2 พนักงานรังวัดนัดรังวัดวันที่ 1 ตุลาคม 2536 จำเลยที่ 3ก็ปฏิเสธไม่ยอมชี้แนวเขตอ้างว่าที่ดินของโจทก์ถูกเวนคืนเป็นที่ดินของจำเลยที่ 1 แล้วความจริงที่ดินตามโฉนดเลขที่ 12769 ยังเป็นของโจทก์ การที่จำเลยที่ 3 ไม่ชี้ แนวเขตทำให้โจทก์เสียหาย ไม่สามารถแบ่งที่ดินออกเป็นแปลงย่อยเพื่อขายให้ผู้อื่นได้ ขาดประโยชน์ที่จะได้รับเงินมัดจำจากผู้ต้องการซื้อ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามไประวังแนวเขต หากจำเลยทั้งสามไม่ปฏิบัติ ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสาม ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสามให้การว่าโจทก์มิได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 12769 ตามฟ้อง เพราะที่ดินของโจทก์ถูกประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 225 ให้เวนคืนจำนวนเนื้อที่ 2 ไร่ 2 งาน 94 ตารางวาให้แก่จำเลยที่ 1 จำเลยทั้งสามได้ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายแล้วโดยในวันนัดรังวัดนัดแรกโจทก์หรือฝ่ายโจทก์ไม่ไปติดต่อกับจำเลยตามหนังสือนัดของช่างแผนที่จึงไม่ใช่ความผิดของจำเลย และการรังวัดครั้งที่ 2 จำเลยที่ 3 ไม่อาจชี้แนวเขตได้ เพราะโจทก์นำชี้เข้าไปในเขตที่ดินของจำเลยที่ 1 และโจทก์ไม่ยอมชี้แนวเขตที่ดินที่ถูกเวนคืน เป็นเหตุให้การรังวัดแบ่งแยกทำต่อไปไม่ได้ ซึ่งเป็นเพราะความผิดของโจทก์ ความเสียหายมิใช่เกิดจากจำเลย โจทก์ไม่ได้ถูกโต้แย้งสิทธิโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและคำขอบังคับของโจทก์ที่ให้บังคับจำเลยทั้งสามไประวังแนวเขตหากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสามนั้น การระวังแนวเขตที่ดินมิใช่การกระทำเป็นนิติกรรมจะให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสามหาได้ไม่ ฟ้องโจทก์จึงเคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า
ข้อ 1 ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่
ข้อ 2 จำเลยทั้งสามต้องรับผิดไประวังชี้แนวเขตที่ดินและใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ ทนายโจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องอ้างว่าโจทก์ได้ตรวจคำฟ้องของโจทก์แล้ว เห็นว่า แม้ศาลจะมีคำพิพากษาอย่างไรก็ไม่อาจทำให้คดีนี้เสร็จสิ้นลงได้ เพื่อมิต้องพิจารณาคดีในเรื่องเดียวกันหลายคดีโจทก์ขอถอนฟ้องเพื่อจะนำคดีมาฟ้องใหม่ให้ครบทุกประเด็น
จำเลยทั้งสามแถลงคัดค้านว่า ต้องเสนอเรื่องให้อธิบดีกรมทางหลวงอนุมัติก่อน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ไม่อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาว่า คำคัดค้านการขอถอนฟ้องของจำเลยทั้งสามมิได้อ้างเหตุว่า ทำให้จำเลยทั้งสาม เสียเปรียบในการต่อสู้คดี จึงมิใช่คำคัดค้านตามกฎหมายศาลจึงมีอำนาจอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้ และศาลสมควรอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องเพราะแม้โจทก์จะฟ้องคดีเข้ามาใหม่ก็หาทำให้จำเลยต้องเสียเปรียบในการต่อสู้คดีแต่อย่างใดนั้น เห็นว่า การที่ศาลจะอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องหรือไม่นั้นเป็นดุลพินิจของศาลที่จะพิจารณาข้อเท็จจริงจากท้องสำนวนประกอบคำร้องขอถอนฟ้องและคำคัดค้านของจำเลยทั้งสามโดยคำนึงถึงเหตุผลและความจำเป็นว่าสมควรหรือไม่ประการใด และเป็นการถอนฟ้องไปเพื่อที่จะฟ้องใหม่โดยแก้ไขฟ้องเดิมที่บกพร่องอันเป็นการเอาเปรียบในเชิงคดีกับอีกฝ่ายหนึ่งหรือไม่ คดีนี้จำเลยให้การต่อสู้คดีหลายประการและให้การต่อสู้ด้วยว่า โจทก์มิได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินตามฟ้องเพราะได้มีการเวนคืนที่ดินให้แก่จำเลยที่ 1แล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องและฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะคำขอบังคับคดีของโจทก์ไม่สามารถบังคับให้จำเลยทั้งสามปฏิบัติตามได้โดยเกี่ยวกับข้อต่อสู้ของจำเลยที่ว่า โจทก์มิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินตามฟ้องนี้ โจทก์ได้เสนอประเด็นข้อพิพาทก่อนวันนัดชี้สองสถานด้วยแต่ในวันนัดชี้สองสถานศาลชั้นต้นมิได้กำหนดประเด็นดังกล่าวเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ การที่โจทก์ถอนฟ้องเพราะทราบความบกพร่องของคำฟ้องจากคำให้การของจำเลยทั้งสาม และตามคำร้องขอถอนฟ้องของโจทก์ก็อ้างเหตุว่า ขอถอนฟ้องเพื่อนำคดีมาฟ้องใหม่ให้รวมถึงประเด็นที่เกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวด้วย และเป็นเวลาหลังชี้สองสถานซึ่งโจทก์อาจจะไม่สามารถแก้ไขคำฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 180 เห็นได้ว่า โจทก์ถอนฟ้องไปเพื่อที่จะแก้ไขฟ้องเดิม ที่บกพร่องอันอาจจะทำให้จำเลยทั้งสามเสียเปรียบในการต่อสู้คดี ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3ไม่อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องนั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share