คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 521/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่12ให้เงินจำเลยที่11เพื่อให้นำไปให้จำเลยที่7และที่8เช่าสถานที่และซื้อไม้มาสร้างโรงรถเพื่อถอดแยกชิ้นส่วนรถยนต์โดยไม่ได้ สมคบกันเพื่อลักทรัพย์หรือรับของโจรและเมื่อนับรวมกันแล้วก็มีเพียง4คนเท่านั้นส่วนคนร้ายที่ทำการถอดแยกชิ้นส่วนรถยนต์ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่12ได้ร่วมสมคบในการลักทรัพย์ด้วยข้อเท็จจริงจึงไม่พอฟังว่าจำเลยที่12สมคบกับคนอื่นตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐาน ลักทรัพย์หรือ รับของโจรอันจะเป็นความผิดฐานเป็น ซ่องโจร

ย่อยาว

โจทก์ ฟ้อง และ แก้ไข คำฟ้อง ว่า เมื่อ ระหว่าง วันที่ 1 กรกฎาคม2533 ถึง วันที่ 13 กันยายน 2533 ทั้ง เวลา กลางวัน และ กลางคืน ต่อเนื่องเกี่ยวพัน กัน จำเลย ทั้ง สิบ สาม กับพวก ที่ ยัง หลบหนี กระทำการ เป็น ซ่องโจรโดย สมคบ และ วางแผน การ เพื่อ กระทำการ ลักทรัพย์ รถยนต์ หรือ รับของโจรรถยนต์ ที่ ได้ มาจาก การ ลักทรัพย์ ของ ผู้อื่น หรือ ที่ ผู้อื่น เป็น เจ้าของรวม อยู่ ด้วย ไป โดยทุจริต และ ร่วมกัน ตระเตรียม ก่อสร้าง อาคารสถานที่ เครื่องมือ เครื่องใช้ และ นำ เอา ทรัพย์ ที่ ได้ จาก การกระทำผิด มา ทำการ ถอด แยก ชิ้นส่วน ต่าง ๆ เพื่อ ขาย เป็น อะไหล่ รถยนต์แก่ ผู้อื่น และ จำเลย ที่ 1 ยัง มี อาวุธปืน 1 กระบอก กับ กระสุนปืน อีก8 นัด ของ ผู้อื่น ไว้ ใน ครอบครอง โดย ไม่ได้ รับ ใบอนุญาต จาก นายทะเบียนท้องที่ และ จำเลย ที่ 1 พา อาวุธปืน ดังกล่าว ไป ใน เมือง หมู่บ้าน และตาม ถนน โดย ไม่มี เหตุสมควร และ ไม่ได้ รับ ใบอนุญาต ให้ มี อาวุธปืนติดตัว ต่อมา เจ้าพนักงาน ตำรวจ จับ จำเลย ทั้ง สิบ สาม ได้ พร้อม ด้วยทรัพย์ ของกลาง ตาม บัญชีทรัพย์ ท้ายฟ้อง ซึ่ง ทรัพย์ ของกลาง อันดับ ที่ 8,9, 10 และ 19 เป็น ทรัพย์ ที่ เตรียม ไว้ เพื่อ ใช้ ใน การกระทำ ผิดเหตุ เกิด ที่ แขวง ออเงิน เขตบางเขน แขวงบางโพงพาง เขตยานนาวา แขวง จรเข้บัว เขตบางกะปิ แขวงสุริวงศ์ เขตบางรัก แขวงสีกัน เขต ดอนเมือง แขวงทุ่งวัดดอน เขตสาธร กรุงเทพมหานคร และ ตำบล ประชาธิปัตย์ ตำบลรังสิต อำเภอธัญบุรี จังหวัด ปทุมธานี เกี่ยวพัน กัน อนึ่ง จำเลย ที่ 1 ถึง ที่ 13 เป็น บุคคล คนเดียว กับ จำเลย ใน คดีอาญาคดี หมายเลขแดง ที่ 9487/2535, ที่ 4701/2536, ที่ 5071/2536 และที่ 7479/2536 คดี หมายเลขดำ ที่ 1177/2534, ที่ 1291/2534,ที่ 1323/2534 และ ที่ 7223/2536 ของ ศาลชั้นต้น ขอให้ ลงโทษ จำเลยทั้ง สิบ สาม ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 210 และ ลงโทษ จำเลย ที่ 1ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371, 91, 33 พระราชบัญญัติ อาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และ สิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ , 72, 72 ทวิ พระราชบัญญัติ อาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และ สิ่งเทียมอาวุธปืน(ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2522 มาตรา 7 และ ขอให้ ริบ ถัง ลม ถังแก๊สหัว เชื่อม แก๊ส พร้อม อุปกรณ์ และ เครื่องมือ สำหรับ ถอด และ ซ่อม รถยนต์ ตามบัญชีทรัพย์ แผ่น ที่ 1 อันดับ ที่ 8, 9, 10 และ 19 และ ให้ นับ โทษ จำเลยที่ 1 ถึง ที่ 13 ต่อ จาก คดี ดังกล่าว ด้วย
จำเลย ที่ 1 ถึง ที่ 13 ให้การ ปฏิเสธ แต่ รับ ว่า เป็น บุคคล คนเดียวกับ จำเลย ใน คดี ที่ โจทก์ ขอให้ นับ โทษ ต่อ
ศาลชั้นต้น พิพากษา ว่า จำเลย ที่ 1 มี ความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 210 วรรคแรก พระราชบัญญัติ อาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และ สิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคแรก จำเลย ที่ 2 ถึง ที่ 12 มี ความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 210 วรรคแรก ให้ เรียง กระทง ลงโทษจำเลย ที่ 1 จำคุก จำเลย ที่ 1 ถึง ที่ 12 ฐาน เป็น ซ่องโจร คน ละ 4 ปีจำคุก จำเลย ที่ 1 ฐาน มี อาวุธปืน ไว้ ใน ครอบครอง โดย ไม่ได้ รับ ใบอนุญาต8 เดือน จำเลย ที่ 1 ให้การรับสารภาพ ใน ชั้นสอบสวน ฐาน มี อาวุธปืน ไว้ ในครอบครอง โดย ไม่ได้ รับ ใบอนุญาต จำเลย ที่ 2 ถึง ที่ 5 และ ที่ 9ถึง ที่ 11 ให้การรับสารภาพ ใน ชั้นสอบสวน ฐาน เป็น ซ่องโจร เป็น ประโยชน์แก่ การ พิจารณา มีเหตุ บรรเทา โทษ ลดโทษ ให้ 1 ใน 4 คง จำคุก จำเลย ที่ 1ฐาน มี อาวุธปืน ไว้ ใน ครอบครอง โดย ไม่ได้ รับ ใบอนุญาต 6 เดือน รวม จำคุกจำเลย ที่ 1 มี กำหนด 4 ปี 6 เดือน ส่วน จำเลย ที่ 2 ถึง ที่ 5 และ ที่ 9ถึง ที่ 11 คง จำคุก คน ละ 3 ปี ส่วน ความผิด ข้อหา พา อาวุธปืน ไป ในทางสาธารณะ โดย ไม่ได้ ใบอนุญาต สำหรับ จำเลย ที่ 1 ให้ยก ให้ นับ โทษจำเลย ที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 7 และ ที่ 8 ต่อ จาก คดีอาญา หมายเลขแดง ที่ 9487/2535 และ ที่ 7479/2536 ของ ศาลชั้นต้น นับ โทษ จำเลย ที่ 2ที่ 6 ที่ 9 ที่ 10 และ ที่ 11 ต่อ จาก คดีอาญา หมายเลขแดง ที่ 9487/2535ของ ศาลชั้นต้น นับ โทษ จำเลย ที่ 12 ต่อ จาก คดีอาญา หมายเลขแดง ที่9487/2535 ที่ 4701/2536 และ ที่ 5071/2536 ของ ศาลชั้นต้นสำหรับ คดีอาญา หมายเลขดำ ที่ 1323/2534 และ ที่ 7223/2536 ของศาลชั้นต้น เนื่องจาก ศาล ยัง ไม่มี คำพิพากษา จึง ไม่ นับ โทษ ต่อ ให้ สำหรับจำเลย ที่ 13 ให้ยก ฟ้อง ริบของกลาง คือ ถัง ลม สำหรับ ใช้ ใน การ ตัด เหล็กเชื่อม โลหะ ถังแก๊ส สำหรับ เชื่อม โลหะ หัว เชื่อม แก๊ส พร้อม อุปกรณ์และ เครื่องมือ สำหรับ ถอด และ ซ่อม รถยนต์ ซึ่ง มีไว้ เพื่อ ใช้ ใน การกระทำความผิด ตาม บัญชีทรัพย์ แผ่น ที่ 1 อันดับ ที่ 8, 9, 10 และ 19
จำเลย ที่ 12 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้ เป็น ว่า ให้ยก ฟ้องโจทก์ สำหรับ จำเลย ที่ 12นอกจาก ที่ แก้ คง ให้ เป็น ไป ตาม คำพิพากษา ศาลชั้นต้น
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า “พิเคราะห์ แล้ว คดี มี ปัญหา ต้อง วินิจฉัย ตามฎีกา ของ โจทก์ ว่า จำเลย ที่ 12 ได้ ร่วม กับ จำเลย ที่ 1 ถึง ที่ 11 กระทำความผิด ฐาน เป็น ซ่องโจร หรือไม่ โจทก์ มี พันตำรวจโท เชิดชาย เสขะนันท์ พยานโจทก์ เบิกความ ว่า ขณะ อยู่ ใน โรงรถ ที่เกิดเหตุ จำเลย ที่ 1ถึง ที่ 6 อ้างว่า ไม่ได้ เป็น ผู้ ลัก รถยนต์ มา แต่ รับจ้าง ถอด แยก ชิ้นส่วนของ รถยนต์ โดย มี จำเลย ที่ 12 กับพวก เป็น ผู้ว่าจ้าง และ มี พันตำรวจโท ชาลี เวชรัชต์พิมล พยานโจทก์ อีก ปาก หนึ่ง เบิกความ ว่า จำเลย ที่ 12ยอมรับ ว่า เป็น นายทุน รับ ซื้อ ชิ้นส่วน รถยนต์ โดย จำเลย ที่ 12 เป็น นายทุนให้ เงิน แก่ จำเลย ที่ 11 จำนวน 30,000 บาท เมื่อ ไป ติดต่อ จำเลย ที่ 7และ ที่ 8 ขอ เช่า สถานที่ สร้าง โรงรถ เพื่อ ถอด แยก ชิ้นส่วน รถยนต์โดย ให้ จำเลย ที่ 7 และ ที่ 8 ซื้อ ไม้ มา สร้าง โรงรถ ดังกล่าว และ เมื่อมี การ ลัก รถยนต์ มา ถอด แยก ชิ้นส่วน จำเลย ที่ 7 และ ที่ 8 จะ ได้รับส่วนแบ่ง คน ละ 3,000 บาท จำเลย ที่ 12 ซื้อ รถยนต์ ที่ ถูก ลัก มาคัน ละ 40,000 บาท จะ ให้ แก่ คน ลัก รถยนต์ 32,000 บาท คนร้าย ที่ทำการถอด แยก ชิ้นส่วน รถยนต์ จะ ได้ ส่วนแบ่ง คัน ละ 5,000 บาท ชั้น จับกุมจำเลย ที่ 12 ให้การรับสารภาพ ฐาน เป็น ซ่องโจร ปรากฏ ตาม บันทึก ตรวจค้นจับกุม และ ยึด ของกลาง เอกสาร หมาย จ. 10 เห็นว่า ตาม คำเบิกความของ พยานโจทก์ ดังกล่าว ข้างต้น ไม่ปรากฏ ว่า จำเลย ที่ 12 ได้ สมคบ กับคนอื่น ตั้งแต่ ห้า คน ขึ้น ไป เพื่อ กระทำ ความผิด ฐาน ลักทรัพย์ หรือ รับของโจร ตาม ที่ โจทก์ ฟ้อง แต่อย่างใด เพราะ การ ที่ จำเลย ที่ 12 ให้ เงินจำเลย ที่ 11 ก็ เพื่อ ให้ นำ ไป ให้ จำเลย ที่ 7 และ ที่ 8 เช่า สถานที่ และซื้อ ไม้ มา สร้าง โรงรถ เพื่อ ถอด แยก ชิ้นส่วน รถยนต์ เท่านั้น ไม่ได้ สมคบ กันเพื่อ ลักทรัพย์ หรือ รับของโจร และ เมื่อ นับ รวมกัน แล้ว ก็ มี เพียง 4 คนเท่านั้น ส่วน คนร้าย ที่ทำการ ถอด แยก ชิ้นส่วน รถยนต์ ก็ ไม่ปรากฏ ว่าจำเลย ที่ 12 ได้ ร่วม สมคบ ใน การ ลักทรัพย์ ด้วย แต่อย่างใด ตาม บันทึกตรวจค้น จับกุม และ ยึด ของกลาง เอกสาร หมาย จ. 10 จำเลย ที่ 12 ก็รับ แต่เพียง ว่า ได้รับ ซื้อ มาจาก จำเลย ที่ 9 และ นาย กร ไม่ทราบ นามสกุล เท่านั้น ส่วน ข้อความ ที่ ว่า จำเลย ที่ 12 รับ ว่า รู้ จัก กับ จำเลย ที่ 1และ จำเลย อื่น ที่ ถูกจับ กุม ก่อนหน้า นี้ แล้ว โดย เคย ไป ดู โรงรถ ใช้ สำหรับถอด แยก ชิ้นส่วน รถยนต์ ที่ บ้าน ของ จำเลย ที่ 8 จำนวน 2 ครั้ง โดยจำเลย ที่ 11 เป็น ผู้ พา ไป ครั้งแรก ส่วน ครั้ง ถัด ไป จำเลย ที่ 12 ไป เองก็ เห็น ได้ว่า ข้อเท็จจริง ดังกล่าว ไม่พอ ฟัง ว่า จำเลย ที่ 12 สมคบ กับคนอื่น ตั้งแต่ ห้า คน ขึ้น ไป เพื่อ กระทำ ความผิด ฐาน ลักทรัพย์ หรือ รับของโจร และ ข้อความ ที่ ว่า จำเลย ที่ 12 ยอมรับ สารภาพ ใน ชั้น จับกุมว่า จำเลย ที่ 12 กับ จำเลย ที่ 1 ถึง ที่ 11 มี เครือ ข่าย โยง ใย ใน การร่วมกัน เป็น ซ่องโจร เพื่อ ลักทรัพย์ หรือ รับของโจร ก็ เป็น ข้อความ ที่เลื่อนลอย ไม่พอ ฟัง ว่า จำเลย ที่ 12 กับ จำเลย ที่ 1 ถึง ที่ 11 สมคบ กันอย่างไร เพราะ ข้อความ ใน ตอนแรก ก็ กล่าว แต่เพียง ว่า จำเลย ที่ 12รู้ จัก กับ จำเลย ที่ 1 กับพวก และ เคย ไป ดู โรงรถ ใช้ สำหรับ ถอด แยก ชิ้นส่วนรถยนต์ เท่านั้น จึง เห็นว่า พยานโจทก์ ไม่พอ ฟัง ว่า จำเลย ที่ 12 กระทำความผิด ฐาน เป็น ซ่องโจร ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 210 วรรคแรกฎีกา โจทก์ ฟังไม่ขึ้น ”
พิพากษายืน

Share