แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยที่2ไม่ได้อยู่ร่วมด้วยในขณะที่จำเลยที่1และที่3ติดต่อขาย เมทแอมเฟตามีนให้นายดาบตำรวจ ก. กับสายลับที่ไปล่อซื้อและไม่พบสิ่งของที่ผิดกฎหมายที่ตัวจำเลยที่2อีกทั้งไม่มีพยานที่รู้เห็นว่าจำเลยที่2มีส่วนร่วมในการนำ เมทแอมเฟตามีนของกลางไปซุกซ่อนในรถยนต์กระบะที่จำเลยทั้งสามนั่งมาด้วยกันอย่างไรหรือไม่คดียังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยที่2ได้ร่วมกับจำเลยที่1และที่3กระทำความผิดหรือไม่ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่2
ย่อยาว
โจทก์ ฟ้อง ขอให้ ลงโทษ จำเลย ตาม พระราชบัญญัติ วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อ จิต และ ประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4, 6, 13 ทวิ , 62, 89, 106,106 ทวิ พระราชบัญญัติ วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท (ฉบับที่ 3)พ.ศ. 2535 มาตรา 9, 13, 15, 16 ประกาศกระทรวง สาธารณสุข ฉบับที่ 51(พ.ศ. 2531) เรื่อง ระบุ ชื่อ และ จัด แบ่ง ประเภท วัตถุ ออกฤทธิ์ตาม ความใน พระราชบัญญัติ วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518ลงวันที่ 27 มิถุนายน 2531 ข้อ 3(7) ประกาศกระทรวง สาธารณสุขฉบับที่ 85 (พ.ศ. 2536) เรื่อง กำหนด ปริมาณ การ มีไว้ ใน ครอบครองหรือ ใช้ ประโยชน์ ซึ่ง วัตถุ ออกฤทธิ์ ใน ประเภท 1 หรือ ประเภท 2 ตาม ความใน พระราชบัญญัติ วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 ลงวันที่19 มกราคม 2536 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 ริบ เมทแอมเฟตามีน ของกลาง ให้ แก่ กระทรวงสาธารณสุข คืน ธนบัตร ของกลาง ที่ ใช้ ล่อ ซื้อ แก่เจ้าของ
จำเลย ที่ 1 และ ที่ 3 ให้การรับสารภาพ จำเลย ที่ 2 ให้การ ปฏิเสธ
ศาลชั้นต้น พิพากษา ว่า จำเลย ทั้ง สาม มี ความผิด ตาม พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4, 6, 13 ทวิวรรคหนึ่ง , 62, 89, 116 จำคุก คน ละ 18 ปี จำเลย ที่ 1 และ ที่ 3 ให้การรับสารภาพ มา ตลอด ตั้งแต่ ชั้น จับกุม ถึง ชั้นพิจารณา เป็น ประโยชน์ แก่ การพิจารณา ลดโทษ ให้ กึ่งหนึ่ง ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงเหลือจำคุก คน ละ 9 ปี จำเลย ที่ 2 ให้การรับสารภาพ ใน ชั้น จับกุมเป็น ประโยชน์ แก่ การ พิจารณา อยู่ บ้าง ลดโทษ ให้ หนึ่ง ใน สาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คง จำคุก 12 ปี ริบ เมทแอมเฟตามีน ของกลาง ให้ แก่ กระทรวงสาธารณสุข คืน ธนบัตร ของกลาง ที่ ใช้ ล่อ ซื้อแก่ เจ้าของ
จำเลย ที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้ เป็น ว่า ให้ยก ฟ้อง จำเลย ที่ 2 นอกจาก ที่ แก้คง ให้ เป็น ไป ตาม คำพิพากษา ศาลชั้นต้น
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า “พิเคราะห์ แล้ว มี ปัญหา ที่ จะ วินิจฉัย ตามฎีกา ของ โจทก์ ว่า จำเลย ที่ 2 ได้ ร่วม กับ จำเลย ที่ 1 และ ที่ 3 กระทำความผิด ตาม คำพิพากษา ศาลชั้นต้น หรือไม่ โจทก์ มี ร้อยตำรวจโท ปฐมพงศ์ เพชรพิรุณ และ นาย ดาบตำรวจ กฤตสัณห์ จันทร์กระจ่าง เป็น ประจักษ์ พยาน เบิกความ ว่า วัน เวลา เกิดเหตุ จำเลย ที่ 1 ได้ ขับ รถยนต์กระบะของกลาง ไป ที่เกิดเหตุ โดย มี จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 นั่ง ไป ใน รถ ด้วยแล้ว จำเลย ที่ 1 และ ที่ 3 ลง จาก รถ ไป ติดต่อ และ ขาย เมทแอมเฟตามีน ของกลาง จำนวน 1 ถุง รวม 200 เม็ด ให้ นาย ดาบตำรวจ กฤตสัณห์ กับ สาย ลับ ที่ ไป ล่อ ซื้อ จาก นั้น ร้อยตำรวจโท ปฐมพงศ์ กับพวก ร่วมกัน จับ จำเลย ทั้ง สาม ได้ พร้อม ของกลาง ดังกล่าว จาก การ ตรวจค้น ยึด ได้ เมทแอมเฟตามีน ของกลาง จาก ตัว จำเลย ที่ 3 จำนวน 22 ถุง รวม 4,400เม็ด และ จาก ที่ ซุกซ่อน อยู่ ใน ช่อง เก็บ เครื่องมือ หลัง เบาะ ที่นั่งใน รถยนต์กระบะ ของกลาง อีก จำนวน 22 ถุง รวม 4,400 เม็ดเห็นว่า จาก คำเบิกความ ของ ร้อยตำรวจโท ปฐมพงศ์ และ นาย ดาบตำรวจ กฤตสัณห์ ประจักษ์พยาน ของ โจทก์ ดังกล่าว ได้ความ ว่า จำเลย ที่ 2ไม่ได้ อยู่ ร่วม ด้วย ใน ขณะที่ จำเลย ที่ 1 และ ที่ 3 ติดต่อ ขาย เมทแอมเฟตามีน ให้ นาย ดาบตำรวจ กฤตสัณห์ กับ สาย ลับ ที่ ไป ล่อ ซื้อ และ จาก การ ตรวจค้น ตัว จำเลย ที่ 2 ไม่พบ สิ่งของ ที่ ผิด กฎหมาย ส่วน เมทแอมเฟตามีน ของกลาง ที่ ตรวจ ยึด ได้ จาก ใน รถยนต์กระบะ ประจักษ์ พยาน ของ โจทก์ ทั้ง สอง ดังกล่าว ก็ ไม่รู้ เห็นว่า จำเลย ที่ 2 มี ส่วน ร่วมใน การ นำ ไป ซุกซ่อน ใน รถยนต์กระบะ อย่างไร หรือไม่ พยานหลักฐานของ โจทก์ ได้ความ ดังนี้ ส่วน จำเลย ที่ 2 มี จำเลย ทั้ง สาม เป็น พยานเบิกความ ว่า จำเลย ที่ 2 มี อาชีพ ขับ รถยนต์ รับจ้าง ทั่วไป วัน เวลาเกิดเหตุ จำเลย ที่ 1 ว่าจ้าง จำเลย ที่ 2 ให้ นำ รถยนต์กระบะ ไป ส่ง ในที่เกิดเหตุ โดย จำเลย ที่ 2 ไม่ทราบ ว่า จำเลย ที่ 1 และ ที่ 3 นำ เมทแอมเฟตามีน ของกลาง ติดตัว ไป บางส่วน และ ซุกซ่อน ไว้ ใน รถยนต์กระบะ อีก บางส่วน ทั้ง ขณะ ถูกจับ จำเลย ที่ 2 ก็ ได้ พูด ต่อว่า จำเลย ที่ 1 และที่ 3 ว่า ไม่ น่า หลอก จำเลย ที่ 2 ให้ นำ รถ มา ส่ง ซึ่ง ร้อยตำรวจโท ปฐมพงศ์ และ นาย ดาบตำรวจ กฤตสัณห์ ประจักษ์พยาน ของ โจทก์ ก็ เบิกความ เจือสม กับ ทางนำสืบ ของ จำเลย ที่ 2 ดังกล่าว ว่า ขณะ เกิดเหตุ จำเลย ที่ 2ได้ พูด ต่อว่า จำเลย ที่ 1 และ ที่ 3 จริง จึง เห็นว่า ข้อเท็จจริง อาจ เป็นดัง ทางนำสืบ ของ จำเลย ที่ 2 ที่ ว่า จำเลย ที่ 2 ร่วม เดินทาง ไป ที่เกิดเหตุ โดย ไม่ได้ ร่วม หรือ มี ส่วน รู้เห็น ใน การกระทำ ความผิด ของ จำเลยที่ 1 และ ที่ 3 ฐาน มีไว้ เพื่อ ขาย และ ขาย เมทแอมเฟตามีน ของกลาง ก็ ได้ คดี ยัง มี ความ สงสัย ตาม สมควร ว่า จำเลย ที่ 2 ได้ ร่วม กับ จำเลย ที่ 1และ ที่ 3 กระทำ ความผิด หรือไม่ จึง ให้ยก ประโยชน์ แห่ง ความ สงสัยให้ จำเลย ที่ 2 ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227วรรคสอง ที่ ศาลอุทธรณ์ พิพากษายก ฟ้อง สำหรับ จำเลย ที่ 2 ศาลฎีกาเห็นพ้อง ด้วย ฎีกา ของ โจทก์ ฟังไม่ขึ้น ”
พิพากษายืน