แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พระราชบัญญัติแร่พ.ศ.2510มาตรา73(3)มีความหมายว่าการได้รับประทานบัตรให้ทำเหมืองแร่นั้นไม่ทำให้ผู้นั้นได้สิทธิครอบครองที่ดินที่อยู่ในเขตประทานบัตรด้วยแต่หากมีผู้เข้าไปขัดขวางการทำแร่ในเขตประทานบัตรโดยไม่มีอำนาจโดยชอบแล้วผู้ได้รับประทานบัตรก็ย่อมมีอำนาจฟ้องผู้นั้นได้และเมื่อสิ้นอายุประทานบัตรแล้วมิให้ถือว่าเป็นการได้มาซึ่งสิทธิครอบครองผู้ถือประทานบัตรจึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่ผู้ใดให้ออกจากที่ดินในเขตประทานบัตรได้ โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยที่7ถึงที่12หลังจากที่ประทานบัตรสิ้นอายุอันมีผลทำให้โจทก์ไม่มีสิทธิใดๆในที่พิพาทแล้วโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่7ถึงที่12ส่วนจำเลยที่1ถึงที่6ซึ่งโจทก์ยื่นฟ้องก่อนที่จะสิ้นอายุประทานบัตร3วันในระหว่างพิจารณาประทานบัตรของโจทก์สิ้นอายุแล้วและโจทก์มิได้ดำเนินการขอต่ออายุประทานบัตรหรือขอประทานบัตรใหม่จึงต้องถือว่าโจทก์ไม่มีสิทธิใด ๆในที่ดินพิพาทซึ่งอยู่ในเขตประทานบัตรอีกต่อไปการโต้แย้งสิทธิของโจทก์จึงสิ้นสุดลงโจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยที่1ถึงที่6ได้เช่นกัน พระราชบัญญัติแร่พ.ศ.2510มาตรา72มีความหมายว่าแม้ประทานบัตรสิ้นอายุแล้วผู้ถือประทานบัตรก็ต้องมีหน้าที่กลบถมขุมเหมืองหรือทำที่ดินให้เป็นตามสภาพเดิมแต่ถ้าหากประทานบัตรได้กำหนดไว้เป็นประการอื่นนอกจากที่กล่าวมาแล้วหรือทรัพยากรธรณีประจำท้องที่ในเขตประทานบัตรตั้งอยู่ได้มีคำสั่งให้ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วก็ต้องดำเนินการไปตามนั้นเมื่อตามประทานบัตรที่พิพาทข้อ6ข้อกำหนดเกี่ยวกับการถมขุมหลุมหรือปล่องที่ไม่ได้ใช้ในการทำเหมืองไว้ว่าให้ปฏิบัติตามคำสั่งของทรัพยากรธรณีประจำท้องที่ตามความในมาตรา72และไม่ปรากฏตามคำฟ้องว่าทรัพยากรธรณีประจำท้องที่ได้มีคำสั่งให้โจทก์ผู้ถือประทานบัตรดำเนินการเป็นประการใดแล้วโจทก์จึงยังไม่มีหน้าที่ที่จะต้องดำเนินการกลบถมขุมเหมือง
ย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นสั่งรวมพิจารณาเข้าด้วยกันโดยให้เรียกจำเลยตามลำดับสำนวนว่า จำเลยที่ 1 ถึงจำเลยที่ 12
โจทก์ทั้งสิบสองสำนวนฟ้องในสำนวนแรกมีใจความว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จดทะเบียนที่ประเทศอังกฤษ มีสำนักงานสาขาในประเทศไทยอยู่ที่บ้านเลขที่ 168 หมู่ที่ 3ตำบลบางริ้น อำเภอเมืองระนอง จังหวัดระนอง โจทก์มอบอำนาจให้นายมนูญ โสภาเป็นผู้ฟ้องและดำเนินคดีแทนโจทก์เป็นผู้ถือสิทธิทำเหมืองแร่ ตามประทานบัตรที่ 9542/13760 เนื้อที่ 283 ไร่2 งาน 39 ตารางวา ที่ตำบลบางริ้น อำเภอเมืองระนองจังหวัดระนองประทานบัตรของโจทก์ดังกล่าวยังไม่สิ้นอายุ ไม่เคยถูกเพิกถอนและเมื่อสิ้นอายุโจทก์จะทำการต่ออายุประทานบัตรออกไป ตั้งแต่โจทก์ได้รับประทานบัตรการทำแร่ดังกล่าวมา โจทก์ได้ครอบครองดูแลที่ดินในเขตประทานบัตรและเสียค่าธรรมเนียมเพื่อใช้เนื้อที่ในการทำเหมืองแร่ทุกปีติดต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้โจทก์ยังมีสิทธิและหน้าที่ตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 ที่จะต้องดูแลหลักหมายเขตเหมืองแร่หรือหมุดหลักฐานการทำแผนที่ที่เจ้าพนักงานได้ทำไว้ในการรังวัดกำหนดเขตการทำเหมืองแร่ ถ้ามีการสูญหายโจทก์จะต้องรับผิดในการที่จะต้องทำการรังวัดทำหลักหมายเลขเหมืองแร่หรือหมุดหลักฐานการทำแผนที่ใหม่ทั้งสิ้นและมีหน้าที่ป้องกันมิให้ผู้ใดบุกรุกเข้าไปในเขตพื้นที่ประทานบัตรหรือเข้าไปทำลายซึ่งหลักหมายเลขเหมืองแร่หรือหมุดหลักฐานการทำแผนที่ที่เจ้าพนักงานได้ทำไว้และบรรดาขุมเหมืองหลุมเหมือนที่ไม่ได้ใช้ในการทำเหมืองแล้วโจทก์ยังมีหน้าที่ต้องจัดการถมหรือทำดินให้เป็นไปตามเดิมเสียทุกแห่งไม่ว่าประทานบัตรจะสิ้นอายุแล้วหรือไม่ อันเป็นหน้าที่ของโจทก์จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายหรือตามคำสั่งของทรัพยากรธรณีจังหวัด โจทก์ไม่สามารถเข้าไปดำเนินการทำเหมืองแร่ในเขตพื้นที่ประทานบัตรที่ยังไม่เคยผ่านการทำเหมืองและไม่สามารถกลบขุมเหมืองและหลุมที่ไม่ได้ใช้ในการทำเหมืองเนื่องจากจำเลยทั้งสิบสองบุกรุกเข้าไปปักหลัก ปลูกต้นไม้และปลูกบ้านในที่ดินซึ่งอยู่ในเขตประทานบัตรของโจทก์ โดยจำเลยแต่ละรายต่างบุกรุกเข้าไปในที่ดินเขตประทานบัตรดังกล่าวของโจทก์การกระทำของจำเลยทั้งสิบสองดังกล่าวเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ทำให้โจทก์เสียหายขาดประโยชน์ไม่สามารถใช้ประโยชน์ในที่พิพาทได้ ขอให้จำเลยทั้งสิบสองรื้อถอนเสาและบ้านที่นำเข้ามาปักและปลูกในพื้นที่ดินเขตประทานบัตรของโจทก์ ห้ามจำเลยทั้งสิบสองและบริวารเข้ามาเกี่ยวข้องในที่ดินเขตประทานบัตรดังกล่าว และให้จำเลยแต่ละรายชดใช้ค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์ให้แก่โจทก์ในอัตราเดือนละ 100,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสิบสองจะปฏิบัติตามคำขอดังกล่าวข้างต้น
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 10 และที่ 12 ให้การทำนองเดียวกันว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะประทานบัตรของโจทก์สิ้นอายุแล้ว และจำเลยทั้งสิบเอ็ดครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทโดยสงบ เปิดเผยและเจตนาเป็นเจ้าของอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2522 เป็นต้นมาจนถึงบัดนี้ จึงได้สิทธิครอบครองโดยชอบ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลย ที่ 11 ขาดนัด ยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้องโจทก์
โจทก์ ทั้ง สิบ สอง สำนวน อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ ทั้ง สิบ สอง สำนวน ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติตามคำฟ้องคำให้การและตามที่คู่ความแถลงรับกันว่า ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตประทานบัตรที่ 9542/13760 ของโจทก์ ซึ่งมีอายุ 9 ปี นับตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม 2528 สิ้นอายุวันที่ 6 มีนาคม 2537และเมื่อสิ้นอายุตามประทานบัตรดังกล่าวแล้ว โจทก์มิได้ดำเนินการขอต่ออายุประทานบัตรหรือขอประทานบัตรใหม่ โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2537 และยื่นฟ้องจำเลยที่ 7 ถึงที่ 12 เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2537 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสิบสองหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาประการแรกว่า เมื่อขณะยื่นฟ้องประมาทบัตรของโจทก์ยังไม่สิ้นอายุ แม้ต่อมาประทานบัตรดังกล่าวจะสิ้นอายุแล้วโจทก์ก็ยังมีอำนาจฟ้องเพราะการพิจารณาเรื่องอำนาจฟ้องต้องถือเอาในขณะยื่นฟ้อง เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510มาตรา 73(3) บัญญัติว่า “ผู้ถือประทานบัตรมีสิทธิในเขตเหมือนแร่เฉพาะแต่ใช้ที่ดินในเขตเหมืองแร่ที่ขุดเอาแร่แล้วหรือที่มีแร่ไม่สมบูรณ์พอที่จะเปิดทำการเหมืองเพื่อเกษตร ในระหว่างอายุประทานบัตร แต่ทั้งนี้เมื่อสิ้นอายุประทานบัตรแล้วมิให้ถือว่าเป็นการได้มาซึ่งสิทธิครอบครอง” ตามบทบัญญัติดังกล่าวมีความหมายว่า การได้รับประทานบัตรให้ทำเหมืองแร่นั้นไม่ทำให้ผู้นั้นได้สิทธิครอบครองที่ดินที่อยู่ในเขตประทานบัตรด้วย แต่หากมีผู้เข้าไปขัดขวางการทำแร่ในเขตประทานบัตรโดยไม่มีอำนาจโดยชอบแล้ว ผู้ได้รับประทานบัตรก็ย่อมมีอำนาจฟ้องผู้นั้นได้และเมื่อสิ้นอายุประทานบัตรแล้ว มิให้ถือว่าเป็นการได้มาซึ่งสิทธิครอบครอง ผู้ถือประทานบัตรจึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่ผู้ใดให้ออกจากที่ดินในเขตประทานบัตรได้ สำหรับจำเลยที่ 7 ถึงที่ 12นั้น ได้ความว่าโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2537 ซึ่งเป็นเวลาหลังจากที่ประทานบัตรสิ้นอายุอันมีผลทำให้โจทก์ไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่พิพาทแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 7ถึงที่ 12 ส่วนจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ซึ่งโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่4 มีนาคม 2537 อันเป็นวันเวลาก่อนที่จะสิ้นอายุประทานบัตร 3 วันเมื่อได้ความว่าในระหว่างพิจารณาประทานบัตรของโจทก์สิ้นอายุแล้วและโจทก์มิได้ดำเนินการขอต่ออายุประทานบัตรหรือขอประทานบัตรใหม่จึงต้องถือว่าโจทก์ไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่พิพาทซึ่งอยู่ในเขตประทานบัตรอีกต่อไป การโต้แย้งสิทธิของโจทก์จึงสิ้นสุดลงโจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ได้เช่นกันที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ยังมีหน้าที่กลบถมขุมเหมืองให้กลับสู่สภาพเดิม โจทก์มีความจำเป็นต้องขับไล่จำเลยทั้งสิบสองออกไปนั้นเห็นว่า ตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 มาตรา 72 บัญญัติว่า”บรรดา ขุม หลุม หรือปล่องที่ไม่ได้ใช้ในการทำเหมืองแล้วให้ผู้ถือประทานบัตรจัดการถมหรือทำที่ดินให้เป็นตามเดิมเสียทุกแห่งไม่ว่าประทานบัตรนั้นจะสิ้นอายุแล้วหรือไม่ เว้นแต่ประทานบัตรได้กำหนดเป็นอย่างอื่น หรือทรัพยากรธรณีประจำท้องที่จะได้สั่งเป็นหนังสือกำหนดเป็นอย่างอื่นด้วยความเห็นชอบของอธิบดี”ตามบทบัญญัติดังกล่าวมีความหมายว่า แม้ประทานบัตรสิ้นอายุแล้วผู้ถือประทานบัตรก็ต้องมีหน้าที่กลบถมขุมเหมืองหรือทำที่ดินให้เป็นตามสภาพเดิม แต่ถ้าหากประทานบัตรได้กำหนดไว้เป็นประการอื่นนอกจากที่กล่าวมาแล้วหรือทรัพยากรธรณีประจำท้องที่ในเขตประทานบัตรตั้งอยู่ได้มีคำสั่งให้ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วก็ต้องดำเนินการไปตามนั้น เมื่อตามประทานบัตรที่พิพาทเอกสารหมาย จ.1ข้อ 6 มีข้อกำหนดเกี่ยวกับการถมขุม หลุม หรือปล่องที่ไม่ได้ใช้ในการทำเหมืองไว้ว่าให้ปฏิบัติตามคำสั่งของทรัพยากรธรณีประจำท้องที่ตามความในมาตรา 72 แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510และไม่ปรากฏตามคำฟ้องว่าทรัพยากรธรณีประจำท้องที่ได้มีคำสั่งให้โจทก์ผู้ถือประทานบัตรดำเนินการเป็นประการใดแล้ว โจทก์จึงยังไม่มีหน้าที่ที่จะต้องดำเนินการกลบถมขุมเหมืองแต่อย่างใดทั้งตามคำฟ้องก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสิบสองได้เข้าไปทำการขัดขวางโจทก์อันจะถือได้ว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
พิพากษายืน