แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาโจทก์เป็นเรื่องเกี่ยวกับดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง โดยอาศัยข้อเท็จจริงเนื่องจากพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสี่มีความผิด ฎีกาของโจทก์จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ไม่รับฎีกา
โจทก์เห็นว่า โจทก์มีสิทธิที่จะฎีกาได้ตามกฎหมายเพราะเนื้อหาและสาระสำคัญในฎีกาของโจทก์ เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ด้วย
หมายเหตุ ทนายจำเลยทั้งสี่แถลงคัดค้าน (อันดับ 64)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157,83,84
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีโจทก์ไม่มีมูล จึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 59)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 63)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโดยฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 เชื่อโดยสุจริตว่าโจทก์ร่วมกับนางสาวพรศิริ และพวกกระทำผิดตามพระราชกำหนดควบคุมสินค้าตามชายแดน ย่อมมีอำนาจจับกุมโจทก์ได้ตามกฎหมายและจำเลยที่ 4 เป็นพนักงานสอบสวนเมื่อรับแจ้งความและตัวโจทก์ไว้จากจำเลยทั้งสามแล้ว ย่อมมีอำนาจสอบสวนตามหน้าที่โดยชอบไม่ได้มีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์แต่อย่างใด โจทก์ฎีกาว่าการกระทำต่าง ๆ ของจำเลยทั้งสี่มีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์เพื่อที่จะให้โจทก์ต้องได้รับโทษทางอาญาเป็นฎีกาโต้แย้งในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง