แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาเช่าซื้อกฎหมายบังคับให้ทำหนังสือ มิฉะนั้นเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 572 ทำสัญญาเช่าซื้อกันวันใดก็มีผลใช้บังคับได้ในวันนั้น ฉะนั้นแม้โจทก์จะได้รับรถยนต์ที่เช่าซื้อมาใช้แล้วเกิดเหตุก่อนวันทำสัญญาเช่าซื้อโจทก์จึงไม่ใช่เจ้าของรถและยังไม่ใช่ผู้เช่าซื้อในขณะเกิดเหตุ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีสิทธิเรียกค่าเสื่อมราคาของตัวรถยนต์.
กรมธรรม์ประกันภัยมีข้อความว่า “บริษัทจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัย ซึ่งผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดตามกฎหมายเพื่อความเสียหายต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอก เนื่องจากอุบัติเหตุอันเกิดจากการใช้รถยนต์ในระหว่างระยะเวลาประกันภัย” ดังนั้นค่าขาดประโยชน์ในการที่ไม่ได้ใช้รถและค่าเช่ารถผู้อื่นมาใช้ในระหว่างซ่อมรถของโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ถือได้ว่าเป็นความเสียหายที่มีต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอกจากอุบัติเหตุอันเกิดจากการใช้รถซึ่งจำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดตามกฎหมาย จำเลยร่วมผู้รับประกันภัยจึงต้องรับผิดในค่าเสียหายส่วนนี้ด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองและใช้ประโยชน์รถยนต์บรรทุกยี่ห้อมาสด้า หมายเลขทะเบียนชั่วคราวป้ายแดง ก.ท.00774 โดยโจทก์เช่าซื้อจากบริษัทกมลสุโกศล จำกัด ในราคา 240,190 บาท เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2521 จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 และกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ได้ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน จ.0110 นครศรีธรรมราช ซึ่งรับจ้างรับส่งคนโดยสารประจำทางโดยประมาทชนรถโจทก์ขณะจอดชิดขอบถนนด้านซ้ายทำให้รถยนต์และเครื่องยนต์เสียหาย มีผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสและบาดเจ็บหลายคนสำหรับรถยนต์ของโจทก์ถูกชนทำให้เสื่อมราคาไม่น้อยกว่า 50,000 บาท บัดนี้ก็ยังซ่อมไม่เสร็จ โจทก์ต้องเช่ารถยนต์บรรทุกของผู้อื่นมาใช้แทนค่าเช่าเดือนละ 9,000 บาทเป็นเวลา 5 เดือนเป็นเงิน 45,000 บาท หลังจากนั้นโจทก์ซื้อรถยนต์มาใช้งานแทนจนถึงวันก่อนวันฟ้องเป็นเวลา 6 เดือน 24 วัน เป็นเงิน 61,200 บาท ขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหายรวมทั้งสิ้น 156,200 บาท และค่าเสียหายต่อไปอีกวันละ 300 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่ารถยนต์โจทก์จะซ่อมเสร็จ พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า เหตุคดีนี้เกิดเพราะคนขับรถของโจทก์เป็นฝ่ายประมาทเมื่อเกิดเหตุแล้ว บริษัทสินมั่นคงประกันภัย จำกัด ผู้รับประกันภัยรถยนต์ของจำเลยที่ 2 ได้นำรถยนต์ของโจทก์ไปซ่อมให้ จึงเป็นการแปลงหนี้ใหม่ด้วยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดอีก ค่าเสื่อมสภาพของรถยนต์โจทก์ไม่เกิน 1,000 บาท ค่าขาดประโยชน์ไม่เกินวันละ 100 บาท โจทก์ไม่ได้เช่ารถยนต์บุคคลอื่นขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอให้เรียกบริษัทสินมั่นคงประกันภัย จำกัด เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลอนุญาต
จำเลยร่วมให้การว่า ขณะเกิดเหตุโจทก์มิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์และมิได้เป็นผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุก หมายเลขทะเบียนป้ายแดง ก.ท. 00774 โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีอำนาจฟ้อง เมื่อซ่อมแล้วรถยนต์ของโจทก์ไม่เสื่อมราคาโจทก์ไม่ได้เช่ารถยนต์ผู้อื่นมาใช้ หากเช่าจริงไม่เกินเดือนละ 3,000 บาท รถยนต์โจทก์สามารถซ่อมเสร็จภายใน 30 วัน จำเลยร่วมชำระค่าซ่อมครบถ้วนแล้ว ความรับผิดของจำเลยร่วมมีเฉพาะค่าซ่อมรถในวงเงินไม่เกิน 100,000 บาท ไม่รวมถึงค่าเสื่อมราคาและค่าขาดประโยชน์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันชดใช้ค่าเสื่อมสภาพรถยนต์โจทก์เป็นเงิน 30,000 บาท ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ 44,700 บาท รวมเป็นเงิน 74,700 บาท พร้อมดอกเบี้ย เนื่องจากจำเลยร่วมชำระค่าซ่อมรถยนต์ไปแล้ว 37,608 บาท รับผิดได้อีกเพียง 62,392 บาท จึงให้จำเลยร่วมร่วมรับผิด 62,392 บาท พร้อมดอกเบี้ย
โจทก์ จำเลยที่ 2 และจำเลยร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์ขาดประโยชน์ไม่ได้ใช้รถระหว่างซ่อม 70 วัน เป็นเงิน 70,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย
โจทก์และจำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ที่โจทก์ฎีกาว่าโจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสื่อมราคาของรถยนต์ที่เช่าซื้อจากจำเลยทั้งสองและจำเลยร่วมนั้นเห็นว่ารถยนต์เกิดเหตุชนกันเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2521 โจทก์เพิ่งทำสัญญากับบริษัทผู้ให้เช่าซื้อเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2521 แม้โจทก์จะได้รับรถยนต์จากผู้ให้เช่าซื้อมาใช้งานก่อน ก็ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์เป็นผู้เช่าซื้อ เพราะสัญญาเช่าซื้อต่างกับสัญญาเช่าธรรมดา หรือสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์อย่างอื่น ซึ่งอาจสมบูรณ์ได้ในขณะที่ตกลงทำสัญญากัน แต่สัญญาเช่าซื้อกฎหมายบังคับให้ทำเป็นหนังสือ มิฉะนั้นเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 572 ฉะนั้นเมื่อทำสัญญากันวันใดก็มีผลใช้บังคับได้ในวันนั้น ไม่มีทางที่จะแปลให้สิทธิของคู่สัญญามีผลย้อนหลังไปถึงวันที่โจทก์รับรถมาจากผู้ให้เช่าซื้อตามที่โจทก์ฎีกาได้ เมื่อโจทก์ไม่ใช่เจ้าของรถและยังไม่ใช่ผู้เช่าซื้อในขณะเกิดเหตุ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีสิทธิเรียกค่าเสื่อมราคาของตัวรถยนต์
ที่โจทก์ฎีกาขอให้จำเลยร่วมต้องรับผิดในค่าเช่ารถและค่าขาดประโยชน์ในการไม่ได้ใช้รถนั้น เห็นว่าตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย ป.ล.1 ข้อ 2.3 มีข้อความว่า “บริษัทจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัย ซึ่งผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดตามกฎหมายเพื่อความเสียหายต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอกเนื่องจากอุบัติเหตุอันเกิดจากการใช้รถยนต์ในระหว่างระยะเวลาประกันภัย ความรับผิดของบริษัทจำกัดไม่เกินจำนวนเงินที่ระบุไว้ในตาราง” การที่รถโจทก์ถูกรถจำเลยที่ 2 ซึ่งขับโดยจำเลยที่ 1 ลูกจ้างจำเลยที่ 2 ชนเสียหาย โจทก์ย่อมขาดประโยชน์ในการไม่ได้ใช้รถและต้องเช่ารถผู้อื่นมาใช้ในระหว่างซ่อมรถ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ซึ่งความเสียหายดังกล่าวถือได้ว่าเป็นความเสียหายที่มีต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอกจากอุบัติเหตุอันเกิดจากการใช้รถ ซึ่งจำเลยที่ 2 ผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดตามกฎหมาย จำเลยร่วมผู้รับประกันภัยรถของจำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดในค่าเสียหายส่วนนี้ด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ 45,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยฯลฯ