คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7448/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

คดีก่อนผู้คัดค้านเป็นโจทก์ฟ้องขับไล่ผู้ร้องเป็นจำเลยให้ออกจากที่ดินพิพาท ประเด็นแห่งคดีมีว่าผู้คัดค้านฟ้องขับไล่ผู้ร้องได้หรือไม่ แม้ผู้ร้องจะให้การต่อสู้คดีว่าผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์แล้วและศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่า ผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์หรือไม่ ซึ่งศาลก็ได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ในคดีดังกล่าวโดยฟังว่าจำเลยหรือผู้ร้อง ในคดีนี้ได้ครอบครองที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์แล้วก็ตาม แต่ก็เป็นเพียงประเด็นที่จะนำไปสู่การวินิจฉัยในประเด็นแห่ง คดีดังกล่าว ส่วนคดีนี้เป็นเรื่องที่ผู้ร้องจำเป็นต้องใช้ สิทธิทางศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 โดยอาศัยข้อวินิจฉัยจากผลของคำพิพากษาในคดีก่อน ขอให้ศาลสั่งว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองเพื่อจะได้นำคำสั่งศาลไปดำเนินการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียน ตามประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งเป็นสิทธิของผู้ร้องที่จะกระทำได้ มิใช่กรณีที่มารื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้ วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน จึงไม่ต้องห้ามตามมาตรา 148

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 4621 เนื้อที่55 ไร่ 2 งาน 28 ตารางวา ปัจจุบันมีผู้คัดค้านทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันแต่เมื่อประมาณ 40 ปีเศษมาแล้วนายแขกกับนางบุญมี กอบเงินทอง ซึ่งเคยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ได้ยกที่ดินบางส่วนบริเวณด้านทิศตะวันออกของที่ดินแปลงดังกล่าวเนื้อที่ 1 ไร่ 1 งาน 96 ตารางวา ให้แก่ผู้ร้องโดยไม่ได้ทำการจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดิน ผู้ร้องเข้าครอบครองที่ดินส่วนดังกล่าวด้วยการทำไร่ทำนา ปลูกบ้านอยู่อาศัยตลอดมาด้วยความสงบ เปิดเผย เจตนาเป็นเจ้าของจนถึงปัจจุบันเกินกว่า 10 ปีแล้ว ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์บางส่วนของที่ดินโฉนดเลขที่ 4621 ตำบลนาป่า อำเภอเมืองชลบุรีเนื้อที่ 1 ไร่ 1 งาน 96 ตารางวา ตามแผนที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382
ผู้คัดค้านทั้งสองค้านว่า คำร้องขอของผู้ร้องเป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 944/2532 ขอให้ยกคำร้องขอ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอที่จะวินิจฉัยได้แล้ว จึงให้งดสืบพยานผู้ร้อง ผู้คัดค้าน และมีคำสั่งว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 4621ตำบลนาป่า อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี เนื้อที่ 1 ไร่1งาน 96 ตารางวา ตามแผนที่พิพาทในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 944/2532 ของศาลชั้นต้น ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนางล้ำ สากร ผู้ร้อง โดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 ให้ยกคำคัดค้านของผู้คัดค้านทั้งสอง ผู้คัดค้านทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ผู้คัดค้านทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่ผู้คัดค้านทั้งสองฎีกาว่า คำร้องขอของผู้ร้องเป็นการฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 944/2532ของศาลชั้นต้น เห็นว่า คดีแพ่งหมายเลขแดงดังกล่าวผู้คัดค้านทั้งสองเป็นโจทก์ฟ้องขับไล่ผู้ร้องเป็นจำเลยให้ออกจากที่ดินพิพาทและเรียกค่าเสียหายประเด็นแห่งคดีจึงมีว่าผู้คัดค้านทั้งสองฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากผู้ร้องหรือไม่ แม้ผู้ร้องจะให้การต่อสู้คดีว่าผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์แล้ว ผู้คัดค้านทั้งสองจึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหาย และศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ในข้อ 3 ว่า ผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทโดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ จนได้กรรมสิทธิ์หรือไม่ซึ่งศาลก็ได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ในคดีดังกล่าว โดยฟังว่าจำเลยหรือผู้ร้องในคดีนี้ได้ครอบครองที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์แล้วก็ตาม แต่ก็เป็นเพียงประเด็นที่จะนำไปสู่การวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีดังกล่าว ส่วนคดีนี้เป็นเรื่องที่ผู้ร้องจำเป็นต้องใช้สิทธิทางศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 55 โดยอาศัยข้อวินิจฉัยจากผลของคำพิพากษาในคดีก่อนขอให้ศาลสั่งว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครอง เพื่อจะได้นำคำสั่งศาลไปดำเนินการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนตามประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งเป็นสิทธิของผู้ร้องที่จะกระทำได้ มิใช่กรณีที่มารื้อฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน คดีของผู้ร้องจึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share