คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3642/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 เป็นผู้อนุญาตหรือยินยอมให้จำเลยที่ 1 เอาโฉนดที่ดินของผู้เสียหายไปซึ่งจำเลยที่ 1 ก็ทราบดีแล้วว่าโฉนดที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้เสียหายและยังอยู่ในความครอบครองของผู้เสียหาย จำเลยที่ 2 ไม่มีอำนาจให้คำอนุญาตหรือยินยอมได้ เมื่อจำเลยที่ 1 เอาโฉนดที่ดินของผู้เสียหายไปด้วยความยินยอมของจำเลยที่ 2 จึงเป็นการร่วมกันลักทรัพย์ตั้งแต่สองคนขึ้นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(7) วรรคหนึ่งและมาตรา 83

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137, 264, 265, 268, 335, 83 และ 91

จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(7) วรรคสอง (ที่ถูกวรรคหนึ่ง), 83 จำคุก 3 ปีทางนำสืบของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี ข้อหาอื่นให้ยกและให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังยุติได้ในเบื้องต้นว่า นางเชื้อมณีสิงห์ ผู้เสียหายเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 9341 ตำบลชะมาย อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้เก็บโฉนดที่ดินดังกล่าวไว้ในลิ้นชักตู้เสื้อผ้าในห้องนอนของจำเลยที่ 2 บุตรสาว ต่อมาวันที่ 16 มิถุนายน 2535 จำเลยที่ 1 กับพวกได้ไปกู้ยืมเงินจำนวน 1,000,000 บาท จากนางกิ้มตูล วสุนทราภิวัฒน์ โดยนำโฉนดที่ดินของผู้เสียหายพร้อมด้วยบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน หนังสือมอบอำนาจที่ยังไม่ได้กรอกข้อความแต่มีลายมือชื่อของผู้เสียหายอยู่ไปวางเป็นหลักประกัน จำเลยที่ 1 ว่าจะชำระหนี้ภายใน 2 เดือน หากผิดนัดให้โอนที่ดินเป็นของผู้ให้กู้ได้ ต่อมาเมื่อครบกำหนด2 เดือนแล้ว จำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ นางกิ้มตูล จึงได้โอนที่ดินให้เป็นของจำเลยที่ 3ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานลักทรัพย์ตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีนางเชื้อผู้เสียหายเบิกความว่า จำเลยที่ 2 ได้เสียเป็นภรรยาของจำเลยที่ 1 แต่ยังไม่จดทะเบียนสมรสกัน จำเลยที่ 1 ได้มาที่บ้านของผู้เสียหายซึ่งพักอาศัยอยู่กับจำเลยที่ 2 บ่อย ๆ เมื่อราวเดือนตุลาคม 2535 ขณะที่ผู้เสียหายอยู่ที่บ้านนายทองดีซึ่งเป็นเพื่อนจำเลยที่ 1 ได้มาบอกว่า จำเลยที่ 1 ได้นำโฉนดที่ดินของผู้เสียหายไปประกันเงินกู้นางกิ้มตูล ให้ผู้เสียหายไปไถ่ถอนและนำเงินไปเสียดอกเบี้ยด้วย ผู้เสียหายจึงได้ตรวจดูปรากฏว่าโฉนดที่ดินที่เก็บไว้ในลิ้นชักตู้เสื้อผ้าพร้อมด้วยสำเนาทะเบียนบ้านฉบับเก่า บัตรประจำตัวประชาชนฉบับเก่าได้หายไป จึงสอบถมจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 รับว่าเป็นผู้เอาโฉนดที่ดินให้จำเลยที่ 1 ไปเอง เพราะจำเลยที่ 1 บอกว่าจะนำไปค้ำประกันรถเดือนเดียวก็จะนำมาคืน นางกิ้มตูลพยานโจทก์เบิกความว่า จำเลยที่ 1 บอกพยานว่าจำเลยที่ 2 มอบโฉนดที่ดินให้เขาเอง จำเลยที่ 1 บอกว่าจะนำเงินไปใช้เกี่ยวกับกิจการรถสิบล้อ ทั้งคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 เอกสารหมาย จ.12 ระบุว่าจำเลยที่ 2เป็นผู้มอบโฉนดที่ดินของผู้เสียหายให้จำเลยที่ 1 นอกจากนี้ในชั้นพิจารณาของศาลจำเลยที่ 1 ก็เบิกความว่า จำเลยที่ 2 เป็นผู้มอบโฉนดที่ดินให้จำเลยที่ 1 เอง สนับสนุนพยานโจทก์ให้มีน้ำหนักมั่นคงยิ่งขึ้น เชื่อว่าจำเลยที่ 1 เบิกความไปตามความเป็นจริงทั้งจำเลยที่ 2 ได้ให้การไว้ในชั้นสอบสวนตามเอกสารหมาย จ.14 ว่าในวันที่จำเลยที่ 1เอาโฉนดที่ดินไปนั้นในวันนั้นจำเลยที่ 1 ได้เอาใจจำเลยที่ 2 เป็นพิเศษ แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้อนุญาตหรือยินยอมให้จำเลยที่ 1 เอาโฉนดที่ดินของผู้เสียหายไป ซึ่งจำเลยที่ 1 ก็ทราบดีแล้วว่าโฉนดที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้เสียหาย และยังอยู่ในความครอบครองของผู้เสียหาย จำเลยที่ 2 ไม่มีอำนาจให้คำอนุญาตหรือยินยอมได้ เมื่อจำเลยที่ 1 เอาโฉนดที่ดินของผู้เสียหายไปด้วยความยินยอมของจำเลยที่ 2 จึงเป็นการร่วมกันลักทรัพย์ตั้งแต่สองคนขึ้นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(7) วรรคหนึ่ง, 83จำเลยที่ 1 ต้องมีความผิดฐานลักทรัพย์ตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้นยังไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”

พิพากษากลับ ให้บังคับตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น

Share