คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7447/2550

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การยื่นคำร้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 287 ถือว่าเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์
ผู้ร้องซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินจากจำเลย ระหว่างที่ยังไม่ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ต่อกัน ผู้ร้องได้เพิ่มเติมปรับปรุงสิ่งปลูกสร้างบนที่ดิน ส่วนที่เพิ่มเติมปรับปรุงนั้นย่อมเป็นส่วนควบกับที่ดิน เมื่อยังมิได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กันอย่างถูกต้อง ก็เป็นเพียงสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเท่านั้นและมิได้เป็นสิทธิที่เทียบเคียงได้กับบุริมสิทธิอื่นด้วย ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิกันเงินที่ได้มาจากการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดเพื่อมาชำระหนี้ค่าใช้จ่ายที่ผู้ร้องใช้เพิ่มเติมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวก่อนเจ้าหนี้อื่น

ย่อยาว

คดืสืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2545 โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยคือที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ 59817 พร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวออกขายทอดตลาด
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่โจทก์นำยึดจากจำเลย แต่จำเลยผิดสัญญาจะซื้อจะขายไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์แก่ผู้ร้องได้ ในระหว่างที่จำเลยทำการก่อสร้างบ้านดังกล่าวนั้น ผู้ร้องกับจำเลยตกลงให้มีการตกแต่งต่อเติมปรับพื้นที่จำนวน 719,216.58 บาท ทำให้ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวมีราคาเพิ่มขึ้นกว่าเดิมมาก จึงขอให้มีคำสั่งให้กันเงินจำนวน 719,216.58 บาท ที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวมาชำระให้แก่ผู้ร้องก่อนที่จะมีการชำระให้แก่โจทก์หรือเจ้าหนี้รายอื่นของจำเลย และหากโจทก์สละสิทธิในการบังคับคดี หรือเพิกเฉยไม่ดำเนินการบังคับคดีภายในเวลาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีกำหนดหรือเวลาอันสมควร ขอให้มีคำสั่งให้ผู้ร้องเข้าสวมสิทธิในการดำเนินการบังคับคดีต่อไป
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องไม่ใช่ผู้อยู่ในฐานะที่จะใช้สิทธิตามที่ระบุไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289 เพราะผู้ร้องไม่ได้เป็นเจ้าหนี้หรือผู้ทรงสิทธิในบุริมสิทธิเหนืออสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 273 บรรดาค่าใช้จ่ายต่างๆ ตามคำร้องเป็นค่าใช้จ่ายอันเกี่ยวกับความสะดวกสบายในการใช้ทรัพย์ มิได้เกี่ยวกับการรักษาทรัพย์ ผู้ร้องไม่ได้อยู่ในฐานะผู้รับจ้างทำของที่จะเรียกร้องเอาค่าจ้างทำของ ผู้ร้องเป็นเพียงผู้จะซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่ยังไม่ได้มีการจดทะเบียนการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ระหว่างผู้ร้องกับจำเลย ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 59817 ตำบลทุ่งครุ อำเภอราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร พร้อมบ้านเลขที่ 299/163 หมู่ที่ 5 แขวงทุ่งครุ เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร ออกขายทอดตลาด ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้กันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์ดังกล่าวมาชำระหนี้ให้ผู้ร้องก่อนโจทก์หรือเจ้าหนี้รายอื่น โจทก์คัดค้านว่าผู้ร้องไม่มีสิทธิขอให้กันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดมาชำระหนี้ก่อนโจทก์ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ร้องประการแรกว่า การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้กันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดมาชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้องก่อน โดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 นั้น เป็นคดีมีทุนทรัพย์หรือไม่ เห็นว่า การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 นับว่าเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าเป็นคดีมีทุนทรัพย์นั้นจึงไม่ถูกต้อง อุทธรณ์ข้อนี้ของผู้ร้องฟังขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องประการต่อไปมีว่า ผู้ร้องมีสิทธิกันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดก่อนเจ้าหนี้อื่นหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินที่ถูกยึดยังมิได้มีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ต่อกัน ระหว่างนั้นผู้ร้องได้เพิ่มเติมปรับปรุงสิ่งปลูกสร้างบนที่ดิน ส่วนที่เพิ่มเติมปรับปรุงนั้นย่อมเป็นส่วนควบกับที่ดินซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ เมื่อยังมิได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กันอย่างถูกต้อง ก็เป็นเพียงสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเท่านั้นและมิได้เป็นสิทธิที่เทียบเคียงได้กับบุริมสิทธิอื่นด้วย ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิกันเงินในส่วนค่าใช้จ่ายดังกล่าวที่ได้มาจากการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดเพื่อมาชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้อื่น ศาลชั้นต้นวินิจฉัยในปัญหานี้ไว้ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน แต่ให้คืนค่าธรรมเนียมศาลในศาลชั้นต้นที่เสียเกินมาแก่ผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ

Share