แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คนขับรถยนต์ของจำเลยที่ 1 เห็นรถยนต์ของจำเลยที่ 3 แล่นสวนทางมาอยู่แล้วก่อนแซงรถยนต์ของโจทก์ อีกทั้งเป็นเวลาพลบค่ำและรถยนต์ของจำเลยที่ 3 ที่แล่นสวนทางลงมาจากเนินเขาย่อมจะเพิ่มอัตราความเร็วขึ้นมาก ซึ่งอาจเป็นเหตุให้กะระยะผิดพลาดได้ แต่คนขับรถยนต์ของจำเลยที่ 1 ยังขับแซงรถยนต์ของโจทก์ แล้วรีบปาดรถเข้ามาในเส้นทางโดยต้องหลีกรถยนต์ของจำเลยที่ 3 ที่แซงรถยนต์คันอื่นแล่นกินทางสวนทางมา ทำให้เกิดภาวะคับขันอันบุคลในภาวะคนขับรถยนต์ทั่ว ๆ ไปไม่ควรกระทำ การที่คนขับรถยนต์ของจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ในลักษณะดังกล่าว เป็นเหตุให้รถยนต์ของจำเลยที่ 1 เฉี่ยวชนกับรถยนต์ของจำเลยที่ 3 แล้วรถยนต์ของจำเลยที่ 3 แฉลบไปชนรถยนต์ของโจทก์ รถยนต์ของโจทก์จึงเสียหลักแล่นไปชนท้ายรถยนต์ของจำเลยที่ 1 เป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์เสียหาย เช่นนี้ คนขับรถยนต์ของจำเลยที่ 1 จึงเป็นฝ่ายประมาทเลินเล่อด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ครอบครองใช้ประโยชน์รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน๗๐ – ๐๒๙๙ ลำปาง จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของรถยนต์โดยสารคันหมายเลขทะเบียน ๑๐ – ๑๒๙๓นครสวรรค์ รับส่งคนโดยสารในเส้นทาง กรุงเทพ – เชียงใหม่ ร่วมกับจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าของสัมปทานเส้นทางดังกล่าว โดยมีนายสมบัติ สิงห์ปาน ลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ เป็นคนขับ แล่นรับส่งคนโดยสารหาประโยชน์ร่วมกัน จำเลยที่ ๓ เป็นเจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์โดยสารคันหมายเลขทะเบียน ๓๐ – ๑๔๔๕ กรุงเทพมหานคร และเป็นนายจ้างของนายชูศักดิ์ ลำมาศโตเจริญ ผู้ขับรถยนต์คันดังกล่าวแล่นรับส่งคนโดยสารหาประโยชน์ร่วมกับจำเลยที่ ๔ เมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๒๕ เวลาประมาณ ๑๙ นาฬิกา ขณะที่นายสิงห์คำ แก่นเพชร ขับรถยนต์ของโจทก์จากลำพูนมุ่งหน้าไปลำปางมาถึงระหว่างหลักกิโลเมตรที่ ๔๐ – ๔๑ ที่เกิดเหตุ โดยมีนายสมบัติขับรถยนต์โดยสารของจำเลยที่ ๑ตามหลังมาด้วยความประมาทโดยเร่งความเร็วแซงรถยนต์ของโจทก์ ขณะเดียวกันในทางเดินรถสวนนายชูศักดิ์คนขับรถของจำเลยที่ ๓ แล่นสวนทางมาด้วยความประมาทเร่งความเร็วและแซงรถยนต์กระบะขึ้นมาในระยะกระชั้นชิด เป็นเหตุให้รถยนต์ของจำเลยที่ ๑ เฉี่ยวชนกับรถยนต์ของจำเลยที่ ๓ แล้วรถยนต์ของจำเลยที่ ๓ เสียหลักแฉลบพุ่งเลยเข้ามาเฉี่ยวชนรถยนต์ของโจทก์อย่างแรง ทำให้รถยนต์ของโจทก์เสียหลักพุ่งชนท้ายรถยนต์ของจำเลยที่ ๑ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เสียค่าซ่อมรถ๑๐๓,๓๙๕ บาท ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ ๑ เดือน เป็นเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท และค่าเสื่อมสภาพรถ๔๐,๐๐๐ บาท รวมค่าเสียหาย ๑๙๓,๓๙๕ บาท และคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันทำละเมิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๑๔,๕๐๕ บาท ขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน๒๐๗,๙๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน ๑๙๓,๓๙๕ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า เหตุชนกันมิได้เกิดจากความประมาทของนายสมบัติลูกจ้างจำเลยที่ ๑ แต่เกิดจากความประมาทของนายชูศักดิ์ลูกจ้างจำเลยที่ ๓ และนายสมบัติขับรถด้วยความเร็วปกติในทางเดินรถของจำเลยที่ ๑ ไม่ได้แซงรถยนต์ของโจทก์ นายชูศักดิ์ลูกจ้างจำเลยที่ ๓ เป็นฝ่ายประมาท ขับรถยนต์ด้วยความเร็วสูงในทางเดินรถลงเขาแฉลบล้ำเข้ามาในทางเดินรถของโจทก์ซึ่งแล่นตามหลังรถยนต์ของจำเลยที่ ๑ ค่าซ่อมรถยนต์ของโจทก์ไม่เกิน ๔๐,๐๐๐ บาท ค่าขาดประโยชน์ไม่เกิน๕,๐๐๐ บาท และค่าเสื่อมสภาพรถยนต์ของโจทก์ก็ไม่เกิน ๕,๐๐๐ บาท ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ได้นำรถยนต์คันเกิดเหตุมาร่วมในเส้นทางสัมปทานของจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องร่วมรับผิด เหตุชนกันมิใช่เกิดจากความประมาทของนายสมบัติ แต่เป็นเพราะความประมาทของนายชูศักดิ์ลูกจ้างจำเลยที่ ๓ ฝ่ายเดียว ค่าเสียหายของโจทก์รวมแล้วไม่ควรเกิน ๕,๐๐๐ บาท ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า จำเลยที่ ๓ มิใช่เจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ๓๐ – ๑๔๔๕ กรุงเทพมหานคร วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๒๒ จำเลยที่ ๓ ได้ขายรถยนต์คันดังกล่าวให้แก่นายพิเชษฐ์ แก้วปิยะทรัพย์ โดยการเช่าซื้อ นายพิเชษฐ์นั่งรถยนต์คันดังกล่าวไปดำเนินกิจการรับส่งคนโดยสาร มิได้ร่วมกิจการกับจำเลยที่ ๔ นายชูศักดิ์คนขับรถขณะเกิดเหตุเป็นลูกจ้างของนายพิเชษฐ์ มิใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ ๓ เหตุชนกันเกิดจากความประมาทของนายสมบัติคนขับรถยนต์ของจำเลยที่ ๑ ขับรถด้วยความเร็วสูงด้วยความประมาท แซงรถยนต์ของโจทก์ในระยะกระชั้นชิดเป็นเหตุให้เสียการทรงตัวแฉลบพุ่งเข้าชนรถยนต์คันที่นายชูศักดิ์ขับแล่นสวนทางมา เหตุเกิดเพราะความประมาทของคนขับรถยนต์ของจำเลยที่ ๑ แต่ฝ่ายเดียว ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกสูงเกินสมควรค่าซ่อมและค่าเสียหายอย่างมากไม่ควรเกิน ๒๐,๐๐๐ บาท ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๔ ให้การว่า รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ๓๐ – ๑๔๔๕ กรุงเทพมหานครจำเลยที่ ๓ เป็นเจ้าของและได้นำมาร่วมกิจการกับจำเลยที่ ๔ โดยทำสัญญาว่า จำเลยที่ ๓ เป็นผู้รับผิดค่าเสียหายแก่บุคคลภายนอก จำเลยที่ ๔ จึงไม่ต้องร่วมรับผิด จำเลยที่ ๓ ขายรถยนต์คันดังกล่าวให้แก่นายพิเชษฐ์แล้ว นายพิเชษฐ์นำใบรับส่งคนโดยสารและดำเนินกิจการด้วยตนเอง เหตุชนกันเกิดเพราะความประมาทของคนขับรถยนต์ของจำเลยที่ ๓ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าเสียหายจำนวน ๑๕๒,๔๙๕ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันทำละเมิดจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า เหตุที่รถชนกันเกิดจากความประมาทของคนขับรถยนต์ของจำเลยที่ ๓ ด้วย จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ มิได้อุทธรณ์ คดีสำหรับจำเลยที่ ๓ และที่ ๔จึงยุติ และศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามนั้น มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ ๑ ว่า นายสมบัติคนขับรถยนต์ของจำเลยที่ ๑ ขับรถประมาทด้วยหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยพยานหลักฐานโจทก์และจำเลยแล้ว ฟังข้อเท็จจริงว่า ก่อนเกิดเหตุชนกัน นายสมบัติขับรถยนต์ของจำเลยที่ ๑ แซงรถยนต์ของโจทก์ในระยะที่มีรถสวนอยู่ห่างประมาณ ๗๐ เมตร และปาดหน้ารถยนต์ของโจทก์เข้ามาในทางเดินรถของตนห่างจากรถยนต์ของโจทก์ประามาณ ๕ เมตร แล้วรถยนต์ของจำเลยที่ ๓ แซงรถยนต์กระบะกินทางเข้ามาในทางเดินรถของรถยนต์จำเลยที่ ๑ ประมาณ ๕๐ เซนติเมตร รถยนต์ของจำเลยที่ ๑ เกิดเฉี่ยวชนกับรถยนต์ของจำเลยที่ ๓ แล้วรถยนต์ของจำเลยที่ ๓ แฉลบไปชนรถยนต์ของโจทก์ เป็นเหตุให้รถยนต์ของโจทก์แล่นมาชนท้ายรถยนต์ของจำเลยที่ ๑ การที่นายสมบัติคนขับรถยนต์ของจำเลยที่ ๑ ขับรถขึ้นดอยขุนตาลมาด้วยความเร็ว และตามหลังรถยนต์ของโจทก์ ย่อมจะเห็นรถยนต์กระบะและรถยนต์ของจำเลยที่ ๓ กำลังจะแล่นสวนทางมาในระยะ ๗๐ เมตร การแซงรถในระยะดังกล่าวในขณะขึ้นเนิน และจะสวนทางกับรถที่แล่นลงจากเนิน ความเร็วของรถยนต์ของจำเลยที่ ๑ และรถยนต์ของจำเลยที่ ๓ ที่แล่นสวนทางลงมาย่อมจะเพิ่มอัตราจากความเร็วขึ้นเป็นทวีคูณ และเวลาประมาณ ๑๙ นาฬิกา เป็นเวลาพลบค่ำ นายสมบัติคนขับรถยนต์ของจำเลยที่ ๑ อาจกะระยะผิดพลาดได้ จึงน่าจะเกิดอันตรายแก่ผู้โดยสารและทรัพย์สินของผู้โดยสารและจำเลยที่ ๑ เอง ที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่า รถยนต์ของจำเลยที่ ๑ ขับแซงรถยนต์ของโจทก์ไม่ได้ฝ่าฝืนกฎจราจร แซงพ้นแล้ว ก็เข้ามาอยู่ในทางเดินรถของรถยนต์จำเลยที่ ๑โดยอยู่ห่างจากรถยนต์ของโจทก์ประมาณ ๕ เมตร ถือได้ว่านายสมบัติคนขับรถยนต์ของจำเลยที่ ๑ขับรถไปตามวิสัยและพฤติการณ์ของคนขับรถแล้ว ทั้งไม่ได้เป็นทางห้ามแซง และไม่ได้อยู่ในที่คับขันนั้น เห็นว่า นายสมบัติคนขับรถยนต์ของจำเลยที่ ๑ เห็นมีรถยนต์แล่นสวนอยู่ก่อนแซงแล้ว ยังขับแซงรถยนต์ของโจทก์แล้วรีบปาดรถเข้ามาในเส้นทาง โดยต้องหลีกรถยนต์ของจำเลยที่ ๓ ที่แซงรถยนต์คันอื่นกินทางสวนทางมา จึงเกิดภาวะคับขัน อันบุคลในภาวะคนขับรถยนต์ทั่ว ๆ ไปไม่ควรกระทำการที่นายสมบัติขับรถยนต์ของจำเลยที่ ๑ในลักษณะดังกล่าว เป็นการขับรถยนต์ด้วยความประมาทเลินเล่อด้วยเช่นกัน
พิพากษายืน.