คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7436/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ภาระการพิสูจน์ของคู่ความต้องเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายและหากชั้นชี้สองสถานศาลกำหนดภาระการพิสูจน์ผิดพลาดไป ศาลย่อมมีอำนาจที่จะพิพากษาคดีไปตามภาระการพิสูจน์ที่ถูกต้องได้ โจทก์และจำเลยได้สืบพยานไปตามคำสั่งศาลชั้นต้นจนสิ้นกระแสความ และศาลล่างทั้งสองได้วินิจฉัยพยานโจทก์จำเลยไปตามที่คู่ความได้นำสืบโดยฟังว่าสินค้าพิพาทเสียหายในระหว่างการขนส่งของจำเลย แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยต่อไปว่าจำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้คดีว่า ความเสียหายเกิดแต่เหตุสุดวิสัยหรือเกิดตามสภาพแห่งของนั้นเองหรือเกิดเพราะความผิดของผู้ส่งหรือผู้รับตราส่ง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 616 ก็ตาม ก็ไม่ทำให้ความรับผิดของจำเลยต้องเปลี่ยนแปลงไป เพราะปัญหาดังกล่าวไม่เป็นประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี จึงชอบที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ จำเลยให้การว่า รถเทรลเลอร์ ที่ขนตู้คอนเทนเนอร์ ตามฟ้องของโจทก์เป็นรถของบริษัท ท. รายละเอียดและพยานหลักฐานจำเลยที่ 2 จะได้นำเสนอต่อศาลในชั้นพิจารณาต่อไป คำให้การของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวหาได้มีข้อต่อสู้ที่จำเลยจะนำสืบได้ว่าสินค้าอาจเสียหายก่อนที่จำเลยจะได้รับจากการท่าเรือแห่งประเทศไทยและความรับผิดของจำเลยสิ้นสุดลงเมื่อสินค้าถูกส่งขึ้นรถเทรลเลอร์ แล้ว จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิด การที่ศาลล่างทั้งสองมิได้หยิบยกประเด็นข้อนี้ขึ้นมาวินิจฉัยจึงชอบแล้ว เมื่อปรากฏว่า ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยให้จำเลยที่ 2 ชำระดอกเบี้ยนับแต่วันที่โจทก์ชำระค่าเสียหายไป แต่กลับพิพากษาให้ชำระดอกเบี้ยตั้งแต่วันฟ้อง และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนซึ่งไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้รับประกันภัยความเสียหายของสินค้าระหว่างการขนส่งจากผู้ขายไปต่างประเทศถึงโกดังของผู้ซื้อในประเทศไทยโดยบริษัทสยามโฮดส์ แอนด์ เคม จำกัดเป็นผู้ซื้อและเป็นผู้เอาประกันภัยสินค้าดังกล่าวไว้แก่โจทก์เมื่อสินค้าถูกส่งมาถึงการท่าเรือแห่งประเทศไทย บริษัทสยามโฮดส์ แอนด์ เคม จำกัด ได้ว่าจ้างจำเลยทั้งสองให้ดำเนินพิธีการศุลกากรสินค้าขาเข้าสำหรับสินค้าดังกล่าว และขนส่งสินค้าไปยังโกดังของบริษัทสยามโฮดส์ แอนด์ เคมจำกัด จำเลยทั้งสองได้รับสินค้าบรรจุอยู่ในตู้คอนเทนเนอร์สภาพเรียบร้อยจากการท่าเรือแห่งประเทศไทยและนำไปส่งให้บริษัทสยามไฮดส์ แอนด์ เคม จำกัด ตามที่รับจ้างแล้วปรากฏว่าบริษัทสยามโฮดส์ แอนด์ เคม จำกัด ได้รับสินค้าในสภาพเสียหายบางส่วน ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 137,824 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 129,871.59 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า รถเทรลเลอร์ที่ขนส่งตู้คอนเทนเนอร์เป็นของบริษัทเทรลเลอร์ ทรานสปอร์ต เมื่อบริษัทสยามไฮดส์ แอนด์ เคม จำกัด ได้รับตู้คอนเทนเนอร์ก็ไม่ได้คัดค้าน ต่อว่าหรือตำหนิว่าตู้ไม่เรียบร้อย มีรอยรั่วหรือเสียหาย แต่กลับรับไว้โดยไม่ปฏิเสธว่ามีความเสียหายแต่ประการใด หากตู้คอนเทนเนอร์เสียหายก็อาจเนื่องจากการเก็บรักษาไม่ดีของบริษัทสยามโฮดส์ แอนด์ เคม จำกัดเอง ไม่ใช่ความผิดของจำเลยทั้งสอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินจำนวน129,871.59 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องไม่เกิน 7,952.41 บาท ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2เสียด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ข้อแรกว่า ที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทในข้อ 3 ว่าสินค้าพิพาทที่จำเลยที่ 2 รับขนและโจทก์ได้รับประกันภัยไว้นั้นเกิดความเสียหายในระหว่างที่จำเลยที่ 2 รับขนหรือไม่แล้วกำหนดให้ภาระการพิสูจน์ตกแก่โจทก์และให้โจทก์มีหน้าที่นำสืบก่อนเมื่อสืบพยานโจทก์และจำเลยเสร็จแล้ว ในชั้นพิพากษา ศาลชั้นต้นกลับวินิจฉัยว่า ภาระการพิสูจน์ในประเด็นข้อนี้ตกแก่จำเลยที่ 2 จึงเปลี่ยนภาระการพิสูจน์ให้ตกแก่จำเลยที่ 2แล้วพิพากษาคดีไปตามภาระการพิสูจน์ที่แก้ไขใหม่จะเป็นการชอบหรือไม่เห็นว่า ภาระการพิสูจน์ของคู่ความต้องเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย หากชั้นชี้สองสถาน ศาลกำหนดภาระการพิสูจน์ผิดพลาดไป ศาลย่อมมีอำนาจที่จะพิพากษาคดีไปตามภาระการพิสูจน์ที่ถูกต้องได้ คดีนี้ปรากฏว่าโจทก์และจำเลยที่ 2 ได้สืบพยานไปตามคำสั่งศาลชั้นต้นจนสิ้นกระแสความ และศาลล่างทั้งสองได้วินิจฉัยพยานโจทก์จำเลยไปตามที่คู่ความได้นำสืบโดยฟังว่าสินค้าพิพาทเสียหายในระหว่างการขนส่งของจำเลยที่ 2 แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยต่อไปว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้ให้การต่อสู้คดีว่า ความเสียหายเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือเกิดตามสภาพแห่งของนั้นเองหรือเกิดเพราะความผิดของผู้ส่งหรือผู้รับตราส่ง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 616 ก็ตาม ก็ไม่ทำให้ความรับผิดของจำเลยที่ 2 ต้องเปลี่ยนแปลงไปเพราะไม่เป็นประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 2 รับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล
จำเลยที่ 2 ฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า การที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยคดีว่าที่จำเลยที่ 2 นำสืบว่าสินค้าอาจเสียหายก่อนที่จำเลยที่ 2จะได้รับจากการท่าเรือแห่งประเทศไทยและความรับผิดของจำเลยที่ 2สิ้นสุดลงเมื่อสินค้าถูกส่งขึ้นรถเทรลเลอร์แล้ว จำเลยที่ 2ไม่ต้องรับผิดนั้น ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้ให้การต่อสู้คดีไว้จึงนำมาเป็นข้อต่อสู้ไม่ได้ ดังนี้เป็นคำวินิจฉัยที่ไม่ชอบเพราะจำเลยที่ 2 ได้ให้การไว้แล้วนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 2ได้ต่อสู้ตามคำให้การว่า “รถเทรลเลอร์ที่ขนตู้คอนเทนเนอร์ตามฟ้องของโจทก์นั้นเป็นรถของบริษัทเทรลเลอร์ทรานสปอร์ต รายละเอียดและพยานหลักฐาน จำเลยที่ 2 จะได้นำเสนอต่อศาลในชั้นพิจารณาต่อไป” คำให้การของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวหาได้มีข้อต่อสู้ตามที่จำเลยที่ 2 ฎีกาไว้แต่ประการใด ดังนั้น การที่ศาลล่างทั้งสองมิได้หยิบยกประเด็นข้อนี้ขึ้นมาวินิจฉัยจึงชอบแล้ว
อนึ่ง ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยให้จำเลยที่ 2 ชำระดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2533 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์ชำระค่าเสียหายไปแต่กลับพิพากษาให้ชำระดอกเบี้ยตั้งแต่วันฟ้อง (วันที่ 30 เมษายน 2534) โดยดอกเบี้ยถึงวันฟ้องไม่เกิน 7,952.41 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจึงไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 129,871.59 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 2 กรกฎาคม 2533 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 7,952.41 บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share