คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 743/2502

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยสมคบกันใช้แหทำการประมงจับสัตว์น้ำในหนองนกกก อันเป็นหนองหวงห้ามและสาธารณประโยชน์รักษาพืชพันธุ์สัตว์น้ำโดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานตามกฎหมาย(มิได้ระบุในฟ้องว่า หนองนั้นเป็นหนองประเภทที่ทางการประกาศหวงห้ามไว้สำหรับรักษาพืชพันธุ์สัตว์น้ำตามกฎหมายและไม่มีสำเนาประกาศนั้นติดท้ายฟ้อง) ก็เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว ไม่เป็นฟ้องที่เคลือบคลุมหรือไม่สมบูรณ์แต่อย่างใด
ก่อนสืบพยานโจทก์ โจทก์ยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องข้างต้นว่าหนองดังกล่าวเป็นหนองที่ทางการได้ประกาศหวงห้ามไว้สำหรับรักษาพืชพันธุ์สัตว์น้ำตามกฎหมายดังปรากฏตามสำเนาประกาศท้ายคำร้องเช่นนี้ เป็นการเพิ่มเติมรายละเอียดเพื่อให้ฟ้องเดิมชัดเจนขึ้นเท่านั้นเมื่อฟ้องเดิมของโจทก์เป็นฟ้องอันชอบแล้ว การที่โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ฟ้องดังคำร้องที่โจทก์ยื่นเข้ามานี้ ศาลจะให้แก้หรือไม่ ก็ไม่ทำให้รูปคดีเปลี่ยนแปลง ความประสงค์ของโจทก์ก็คงจะเพื่อได้ส่งสำเนาประกาศที่หวงห้ามจับสัตว์น้ำประกอบฟ้อง แต่ข้อนี้ก็ไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบ เพราะแม้โจทก์จะไม่ได้ส่งสำเนาประกาศ แต่เมื่อโจทก์ได้ระบุมาในฟ้องเดิมแล้วว่า เป็นที่หวงห้ามรักษาพืชพันธุ์สัตว์น้ำ โจทก์ก็ย่อมนำสืบได้ในทางพิจารณาอยู่ในตัวแล้ว คำร้องแก้ฟ้องของโจทก์จึงมิได้ทำให้จำเลยเสียเปรียบในการต่อสู้คดีแต่อย่างใดเมื่อโจทก์ต้องการจะแก้ฟ้องศาลก็ชอบที่จะให้โจทก์แก้ได้ตามความประสงค์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยสมคบกันใช้แหทำการประมงจับสัตว์น้ำในหนองนกกกอันเป็นหนองหวงห้ามและสาธารณประโยชน์รักษพืชพันธ์สัตว์น้ำโดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานตามกฎหมายขอให้ลงโทษตาม พระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490 มาตรา 8, 9, 12, 62, 69 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2496 มาตรา 7, 8, 9, 10

นายแดงจำเลยรับสารภาพตามฟ้องนายใคจำเลยกับพวก รวม 9 คนปฏิเสธ

โจทก์ยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องว่าหนองดังกล่าวเป็นหนองที่ทางการได้ประกาศหวงห้ามไว้สำหรับรักษาพืชพันธ์สัตว์น้ำตามกฎหมายดังปรากฏตามสำเนาประกาศท้ายคำร้อง

จำเลยคัดค้านว่า ไม่ควรอนุญาต

ศาลชั้นต้นสั่งไม่อนุญาตให้โจทก์เพิ่มเติมฟ้อง งดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้ววินิจฉัยว่า ฟ้องไม่ปรากฏว่าหนองนกกกเป็นหนองประเภทใดแน่ เพราะโจทก์ได้ยื่นประกาศมาพร้อมฟ้อง เป็นการบรรยายฟ้องเคลือบคลุม ไม่สมบูรณ์ พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ฟ้องเดิมของโจทก์ได้บรรยายและระบุไว้แล้วว่าจำเลยทำผิด พระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490 มาตรา 8 และ 9 ซึ่งบัญญัติห้ามมิให้บุคคลใดทำการประมงในที่รักษาพืชพันธ์สัตว์น้ำเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากอธิบดี ส่วนตอนที่ก่อนสืบพยานโจทก์ โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องว่า เป็นประเภทหนองหวงห้ามไว้สำหรับรักษาพืชพันธุ์สัตว์น้ำตามสำเนาประกาศท้ายคำร้องนั้น ก็เพื่อให้จำเลยเข้าใจฟ้องแจ่มแจ้งยิ่งขึ้น

การที่โจทก์เขียนฟ้องมีคำว่า สาธารณประโยชน์มาด้วยนั้นไม่ทำให้ความสำคัญของฟ้องเสียไป เพราะที่สาธารณประโยชน์ใดเมื่อได้มีประกาศหวงห้ามจับสัตว์น้ำโดยชอบแล้ว บุคคลใดไปทำการประมงจับสัตว์น้ำในที่นั้น ก็ย่อมมีความผิด ศาลฎีกาเห็นว่าฟ้องโจทก์มีข้อความสำคัญครบถ้วนตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 แล้วเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ ไม่บกพร่อง หรือเคลือบคลุมตามข้อตัดฟ้องของจำเลย การที่โจทก์ยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมและส่งสำเนาประกาศนั้นเป็นการเพิ่มเติมรายละเอียดเพื่อให้ฟ้องเดิมชัดเจนขึ้นเท่านั้นเมื่อฟ้องเดิมของโจทก์เป็นฟ้องอันชอบแล้ว การที่โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ฟ้องดังคำร้องที่โจทก์ยื่นเข้ามานี้ ศาลจะให้แก้หรือไม่ก็ไม่ทำให้รูปคดีเปลี่ยนแปลง ความประสงค์ของโจทก์ก็คงจะเพื่อได้ส่งสำเนาประกาศที่หวงห้ามจับสัตว์น้ำประกอบฟ้อง แต่ข้อนี้ก็ไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบ เพราะแม้โจทก์จะไม่ได้ส่งสำเนาประกาศแต่เมื่อโจทก์ได้ระบุมาในฟ้องเดิมแล้วว่า เป็นที่หวงห้ามรักษาพืชพันธุ์สัตว์น้ำ โจทก์ก็ย่อมนำสืบได้ในทางพิจารณาอยู่ในตัวแล้วคำร้องแก้ฟ้องของโจทก์จึงมิได้ทำให้จำเลยเสียเปรียบในการต่อสู้คดีแต่อย่างใด เมื่อโจทก์ต้องการจะแก้ฟ้องศาลก็ชอบที่ จะให้โจทก์แก้ได้ตามความประสงค์

พิพากษายกคำพิพากษาศาลทั้งสอง โดยให้โจทก์แก้ฟ้องได้ตามคำร้อง ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share