คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7423/2551

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ในชั้นยื่นคำร้องขอครอบครองปรปักษ์นั้น ผู้ร้องทั้งสองเพียงแต่บรรยายให้ปรากฏว่าผู้ร้องทั้งสองได้ครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบ โดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลา 5 ปี หรือ 10 ปี แล้วแต่กรณี ก็ถือว่าเป็นคำร้องที่ได้บรรยายโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามมาตรา 172 วรรคสอง แห่ง ป.วิ.พ. แล้ว ส่วนผู้คัดค้านจะเป็นบุคคลภายนอกและได้ทรัพย์ที่ผู้ร้องทั้งสองร้องขอครอบครองปรปักษ์มาโดยสุจริตหรือไม่ไม่ใช่สภาพแห่งข้อหาหรือข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ผู้ร้องทั้งสองจึงไม่จำต้องบรรยายมาในคำร้องขอ การที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานผู้ร้องทั้งสองและพยานผู้คัดค้านแล้ววินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายว่าผู้ร้องทั้งสองมิได้บรรยายให้ปรากฏในคำร้องว่า ผู้คัดค้านมิใช่บุคคลภายนอก และซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทโดยไม่สุจริต ผู้คัดค้านจึงได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตาม ป.พ.พ. มาตรา 6 ว่ากระทำการโดยสุจริต ผู้ร้องทั้งสองจึงไม่อาจยกเรื่องการครอบครองปรปักษ์ซึ่งยังไม่ได้จดทะเบียนการได้มาต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ขึ้นยันผู้คัดค้านซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วได้แล้วพิพากษายกคำร้องขอ จึงเป็นการไม่ชอบ
แม้ตามอุทธรณ์และฎีกาจะขอให้ศาลสูงพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลล่างก็ตาม แต่เมื่อผลของคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 5 และศาลฎีกามีผลเพียงให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดีหรือไม่เท่านั้น จึงเป็นการขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันมิอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท ดังนั้น จึงให้คืนค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาส่วนที่เกิน 200 บาท แก่ผู้ร้องทั้งสองและผู้คัดค้าน

ย่อยาว

ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องขอและแก้ไขคำร้องขอว่า ผู้ร้องทั้งสองได้รับมอบที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตึกแถวจากนางอำไพ เมื่อปี 2533 และได้ครอบครองทำประโยชน์ด้วยความสงบ เปิดเผย และด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี โดยไม่มีผู้ใดคัดค้าน ผู้ร้องทั้งสองจึงได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ ขอให้ศาลมีคำสั่งว่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องทั้งสอง ศาลชั้นต้นให้ส่งสำเนาคำร้องแก่ผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินทราบ
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า คำร้องขอของผู้ร้องทั้งสองเคลือบคลุม ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทเดิมเป็นของนางอำไพ ต่อมาเมื่อปี 2535 นางอำไพยกให้นางวัฒนา แล้วนางวัฒนานำที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทจำนองเป็นประกันหนี้แก่ผู้คัดค้าน ภายหลังผิดนัดชำระหนี้ ผู้คัดค้านจึงฟ้องบังคับจำนอง และต่อมาได้ยึดที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทออกขายทอดตลาด ผู้คัดค้านซึ่งเป็นบุคคลภายนอกเป็นผู้ประมูลซื้อได้ และได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทมาเป็นของผู้คัดค้านแล้ว การได้มาซึ่งที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทจึงเป็นการได้มาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว ทั้งผู้ร้องทั้งสองครอบครองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างไม่ครบ 10 ปี ผู้ร้องทั้งสองจึงไม่อาจยกเรื่องการครอบครองปรปักษ์ขึ้นยันผู้คัดค้านได้ ขอให้ยกคำร้อง
ระหว่างพิจารณาศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานผู้ร้องทั้งสองและพยานผู้คัดค้านและต่อมามีคำพิพากษายกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานผู้ร้องทั้งสองและพยานผู้คัดค้านตามประเด็นข้อพิพาทแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วให้ศาลชั้นต้นสืบพยานผู้ร้องทั้งสองและพยานผู้คัดค้านตามประเด็นข้อพิพาทแล้วพิพากษาใหม่ ตามรูปคดีนั้น เป็นการชอบหรือไม่ ผู้คัดค้านฎีกาว่า ผู้ร้องทั้งสองทราบมาแต่ต้นแล้วว่าผู้คัดค้านมีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาท เมื่อผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องขอครอบครองปรปักษ์ ผู้ร้องทั้งสองต้องบรรยายให้ปรากฏว่าผู้คัดค้านมิใช่บุคคลภายนอกและซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทโดยไม่สุจริต เมื่อผู้ร้องทั้งสองไม่ได้บรรยายให้ปรากฏในคำร้อง ผู้คัดค้านก็ย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 6 ว่ากระทำการโดยสุจริต กรณีจึงไม่ต้องนำพยานเข้าสืบอีก เห็นว่า ในชั้นยื่นคำร้องขอครอบครองปรปักษ์นั้น ผู้ร้องทั้งสองเพียงแต่บรรยายให้ปรากฏว่า ผู้ร้องทั้งสองได้ครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบ โดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลา 5 ปี หรือ 10 ปี แล้วแต่กรณี ก็ถือว่าเป็นคำร้องที่ได้บรรยายโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามมาตรา 172 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งแล้ว ส่วนผู้คัดค้านจะเป็นบุคคลภายนอกและได้ทรัพย์ที่ผู้ร้องทั้งสองร้องขอครอบครองปรปักษ์มาโดยสุจริตหรือไม่ ไม่ใช่สภาพแห่งข้อหาหรือข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ผู้ร้องทั้งสองจึงไม่จำต้องบรรยายมาในคำร้องขอ การที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานผู้ร้องทั้งสองและพยานผู้คัดค้าน แล้ววินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายว่าผู้ร้องทั้งสองมิได้บรรยายให้ปรากฏในคำร้องว่า ผู้คัดค้านมิใช่บุคคลภายนอก และซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทโดยไม่สุจริต ผู้คัดค้านจึงได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 6 ว่า กระทำการโดยสุจริต ผู้ร้องทั้งสองจึงไม่อาจยกเรื่องการครอบครองปรปักษ์ซึ่งยังไม่ได้จดทะเบียนการได้มาต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ขึ้นยันผู้คัดค้านซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วได้ แล้วพิพากษายกคำร้องขอ จึงเป็นการไม่ชอบ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำพิพากษามานั้น ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของผู้คัดค้านฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง แม้ตามอุทธรณ์และฎีกาจะขอให้ศาลสูงพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลล่างก็ตาม แต่เมื่อผลของคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 5 และศาลฎีกามีผลเพียงให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดีหรือไม่เท่านั้นจึงเป็นการขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันมิอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท ดังนั้น จึงให้คืนค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาส่วนที่เกิน 200 บาท แก่ผู้ร้องทั้งสองและผู้คัดค้าน”
พิพากษายืน ให้คืนค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาส่วนที่เกิน 200 บาท แก่ผู้ร้องทั้งสองและผู้คัดค้าน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ

Share