แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยทั้งสามแถลงสละประเด็นตามคำให้การและตามที่ศาลชั้นต้นชี้สองสถานไว้ ขอให้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพียงข้อเดียวว่า โจทก์ที่ 1 ได้รับความเสียหายเพียงใด ดังนั้น คดีไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 3 หลุดพ้นความรับผิดต่อโจทก์ที่ 1 เนื่องจากมีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อกันหรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 หยิบยกสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์ที่ 1 กับจำเลยที่ 3 มาวินิจฉัยยกฟ้องโจทก์ที่ 1 สำหรับจำเลยที่ 3 จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นข้อพิพาท คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ในส่วนนี้จึงไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาวินิจฉัยตามประเด็นที่ถูกต้อง โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณาพิพากษาใหม่ได้
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาเพียงว่า ขอให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาจำนวน 200 บาท ตามตาราง 1 ท้าย ป.วิ.พ. ข้อ (2) (ก)
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,250,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยทั้งสามให้การและแก้ไขคำให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์ที่ 2 ยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง ศาลชั้นต้นอนุญาต จำเลยทั้งสามแถลงรับข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายขับรถด้วยความประมาท จำเลยที่ 2 เป็นายจ้างของจำเลยที่ 1 และเหตุละเมิดเกิดขึ้นในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ขอให้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพียงข้อเดียวว่า โจทก์ที่ 1 ได้รับความเสียหายเพียงใด
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 2 มีนาคม 2541) จนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ที่ 1 โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท สำหรับค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ที่ 1 ชนะคดี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ที่ 1 และจำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระเงิน 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ 1 และให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันใช้ค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ที่ 1 ชนะคดีชั้นอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ระหว่างโจทก์ที่ 1 กับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้เป็นพับ ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 3 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์ที่ 1 กับจำเลยที่ 3 ทั้งสองศาลให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2540 เวลาประมาณ 1 นาฬิกา จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน 4อ – 7521 กรุงเทพมหานคร ไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 โดยประมาทเลินเล่อชนรถยนต์ที่โจทก์ที่ 1 ขับ เป็นเหตุให้โจทก์ที่ 1 ได้รับบาดเจ็บสาหัส จำเลยที่ 3 เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์คันเกิดเหตุของจำเลยที่ 2
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 หยิบยกสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์ที่ 1 กับจำเลยที่ 3 มาวินิจฉัยยกฟ้องโจทก์ที่ 1 สำหรับจำเลยที่ 3 นั้น ชอบหรือไม่ เห็นว่า ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยทั้งสามแถลงขอสละประเด็นตามคำให้การและตามที่ศาลชั้นต้นชี้สองสถานไว้ โดยรับว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายประมาท จำเลยที่ 2 เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 และเหตุละเมิดเกิดขึ้นในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ขอให้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพียงข้อเดียวว่า โจทก์ที่ 1 ได้รับความเสียหายเพียงใด ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 8 กันยายน 2542 ดังนั้น คดีไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 3 หลุดพ้นความรับผิดต่อโจทก์ที่ 1 เนื่องจากมีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อกันหรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 หยิบยกสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์ที่ 1 กับจำเลยที่ 3 มาวินิจฉัยยกฟ้องโจทก์ที่ 1 สำหรับจำเลยที่ 3 จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นข้อพิพาทคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ในส่วนนี้จึงไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยตามประเด็นที่ถูกต้อง โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณาพิพากษาใหม่ เมื่อข้อเท็จจริงจริงปรากฏว่า โจทก์ที่ 1 ได้รับชดใช้ค่าเสียหายในมูลละเมิดจากจำเลยที่ 3 จำนวน 100,000 บาท แล้ว จึงต้องนำค่าเสียหายจำนวนดังกล่าวมาหักออกจากค่าเสียหายที่จำเลยทั้งสามต้องร่วมกันรับผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฟังขึ้น
อนึ่ง จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาเพียงว่า ขอให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาจำนวน 200 บาท เท่านั้น ตามตาราง 1 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ข้อ (2) (ก) แต่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกามาตามจำนวนทุนทรัพย์ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ซึ่งเป็นการไม่ถูกต้อง จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เกินมาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ 1 กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแทนโจทก์ที่ 1 โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท สำหรับค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นให้ใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ที่ 1 ชนะคดีในชั้นฎีกา คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เกินกว่า 200 บาท แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1