คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 741-745/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้ง 5 บังอาจยึดถือครอบครองที่ดินบริเวณหน้าฝายทุ่งหมูบุ้นอันเป็นที่สาธารณะสำหรับประชาชนใช้ร่วมกันนายอำเภอได้ออกคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมายให้จำเลยออกไปจำเลยบังอาจขัดขืนไม่กระทำตามคำสั่ง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินจำเลยไม่รู้และไม่เข้าใจมาก่อนว่าเป็นที่สาธารณะการขัดคำสั่งทำด้วยใจสุจริต ขาดเจตนาร้าย ยกฟ้องจำเลยฝ่ายเดียวอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยฎีกาต่อมาว่าที่พิพาทมิใช่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน แต่จำเลยมีสิทธิครอบครองและมีกรรมสิทธิ์ตามกฎหมาย ขอให้พิพากษากลับศาลล่างว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยทั้งหมดดังนี้ คดีอาญาจึงยุติเพียงศาลชั้นต้นเมื่อจำเลยกล่าวอ้างโต้แย้งว่าที่พิพาทเป็นที่ดินที่จำเลยมีสิทธิครอบครองมา มิใช่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน จำเลยชอบที่จะไปว่ากล่าวในทางแพ่งต่อไป ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ให้ยกฎีกาจำเลย(อ้างนัยฎีกาที่ 1223/2495)

ย่อยาว

คดีทั้ง 5 ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน โจทก์ฟ้องว่าจำเลยแต่ละคดีบังอาจเข้ายึดถือครอบครองทำนาขุดดินและทำคันนาที่ดินในบริเวณหน้าฝายทุ่งหมูบุ้นอันเป็นที่สาธารณะสำหรับประชาชนใช้ร่วมกัน โดยนายโตครอบครองประมาณ 15 ไร่ นายแก้วประมาณ 1 ไร่ นายแหลงประมาณ 3 ไร่ นายเหลาประมาณ 3 ไร่ นายผายประมาณ 4 ไร่ ที่ดินดังกล่าวอยู่ในความดูแลตรวจตรารักษาของนายจรูญ ธนะสังข์นายอำเภอพะเยา ได้ออกคำสั่งโดยอาศัยอำนาจตามความในพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 มาตรา 117, 122 ห้ามมิให้จำเลยเข้ายึดถือครอบครองและกำหนดให้จำเลยแต่ละคดีออกไปจากที่ดินจำเลยทราบคำสั่งแล้วถึงกำหนดบังอาจขัดขืนไม่กระทำตามคำสั่งคงขัดขืนครอบครองตลอดมาถึงวันฟ้อง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 368 พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 มาตรา 117,122

จำเลยทั้ง 5 คดีให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน แต่จำเลยไม่รู้และไม่เข้าใจมาก่อนว่าที่นี้เป็นที่สาธารณะ การขัดคำสั่งจึงทำด้วยใจสุจริตขาดเจตนาร้าย พิพากษายกฟ้อง

จำเลย 5 คดีอุทธรณ์ว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินที่จำเลยมีสิทธิครอบครองและมีกรรมสิทธิ์ตามกฎหมาย หาใช่ที่สาธารณประโยชน์ไม่ขอศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย มิใช่ที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกาต่อมาว่าที่พิพาทมิใช่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน แต่เป็นที่ดินที่จำเลยมีสิทธิครอบครองและมีกรรมสิทธิ์ตามกฎหมาย ขอให้พิพากษากลับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยทั้งหมดมิใช่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน

ศาลฎีกาเห็นว่า ประเด็นแห่งคดีทั้ง 5 อยู่ที่ว่า จำเลยกระทำผิดฐานไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายอำเภอซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 โดยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควรหรือไม่ ซึ่งศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยขัดคำสั่งของนายอำเภอพะเยาด้วยใจสุจริต ขาดเจตนาร้ายอันจะพึงผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368 พิพากษายกฟ้องโจทก์ทุกคดี ฝ่ายโจทก์มิได้อุทธรณ์ คดีอาญาจึงยุติเพียงศาลชั้นต้น ส่วนข้อวินิจฉัยที่ว่าที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือไม่ เป็นมูลเหตุแห่งคดีอาญาเท่านั้น เมื่อจำเลยกล่าวอ้างโต้แย้งว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่จำเลยมีสิทธิครอบครอง มิใช่ที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินจำเลยชอบที่จะไปว่ากล่าวในทางแพ่งต่อไป ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้นัยฎีกาที่ 1223/2495 ให้ยกฎีกาจำเลยทั้ง 5

Share