คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2969/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทั้งสี่ปรึกษากันจะปล้นรถที่ผ่านมา แล้วจอดรถรออยู่ เมื่อผู้เสียหายขับรถมาถึง จำเลยที่ 1 ยืนส่องไฟฉายให้รถหยุด ผู้เสียหายถามว่ารถเป็นอะไร จำเลยที่ 1 แกล้งบอกว่าไฟช้อต แล้วกระโดดขึ้นรถของจำเลยและขับหนีไปก่อน โดยร้องตะโกนบอกจำเลยที่ 2,3 และ 4ว่า จัดการให้เรียบร้อย จำเลยที่ 2,3 และ 4 ก็จับผู้เสียหายกับพวกที่มาด้วยมัดแล้วยิง พวกผู้เสียหายถูกยิงตายหมด แล้วจำเลยที่ 2,3,4 ก็เอารถไป การปล้นทรัพย์รายนี้เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกระทำการปล้นในระยะแรก แม้มิได้อยู่ด้วยในขณะที่จำเลยอื่นฆ่าเจ้าทรัพย์กับพวก จำเลยที่ 1 ก็ต้องมีความผิดตามวรรคท้ายของมาตรา 340 แห่งประมวลกฎหมายอาญาด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่ร่วมกันมีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่รับอนุญาต และร่วมกันปล้นทรัพย์กับฆ่าและพยายามฆ่าเจ้าทรัพย์กับพวกโดยเจตนาฆ่า เพื่อปกปิดการกระทำผิดและเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดฐานปล้นทรัพย์ และเป็นการกระทำโดยไตร่ตรองไว้ก่อนด้วยความทารุณโหดร้าย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 80, 83, 289, 340 กับพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ

จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยทั้งสี่ร่วมกันปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้คนตาย ฆ่าและพยายามฆ่าเจ้าทรัพย์โดยไตร่ตรองไว้ก่อน และร่วมกันมีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองไม่รับอนุญาต พิพากษาว่าจำเลยทั้งสี่มีความผิดตามบทมาตราที่อ้างท้ายฟ้อง แต่ให้ลงโทษตามมาตรา 289, 83 ซึ่งเป็นบทหนักที่สุด ให้ประหารชีวิต

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง จำเลยที่ 2, 3 และ 4 อุทธรณ์ขอให้ลดโทษและลดมาตราส่วนโทษ

ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกันกับจำเลยที่ 2, 3 และ 4ปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธปืนติดตัวไปด้วย แต่จำเลยที่ 1 มิได้ร่วมฆ่าและพยายามฆ่าเจ้าทรัพย์กับพวกและคดีไม่มีเหตุลดโทษหรือลดมาตราส่วนโทษ พิพากษาแก้ว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรค 2 ประกอบด้วยมาตรา 3 จำคุก 15 ปี จำเลยที่ 2, 3, 4 มีความผิดตามมาตรา 340 วรรคท้าย มาตรา 289(7) และมาตรา 289(7), 80 ให้ลงโทษประหารชีวิต นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและฎีกาว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 มีความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าเจ้าทรัพย์โดยไตร่ตรองไว้ก่อนด้วย

จำเลยทั้งสี่ฎีกาทำนองเดียวกับที่อุทธรณ์

ในประเด็นว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2, 3 และ 4 ทำการปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายหรือไม่ ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งสี่ได้ปรึกษากันว่าจะทำการจี้เอารถ แล้วจำเลยที่ 1 จอดรถรอรถที่จะผ่านมาก่อนทำการปล้น เมื่อนายวิสูตรขับรถผ่านมา จำเลยที่ 1 เป็นผู้ส่องไฟฉายให้รถหยุด นายวิสูตรจึงหยุดรถและถามว่ารถเป็นอะไร จำเลยที่ 1 บอกว่าไฟช้อต ทั้ง ๆ ที่รถไม่ได้เสีย แล้วจำเลยที่ 1 ปิดฝากระโปรงหน้ารถ กระโดดขึ้นรถคันขาวจำเลยและขับหนีไป โดยจำเลยที่ 1 ร้องตะโกนบอกจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ซึ่งยังคงอยู่ ณ ที่นั้นว่า จัดการให้เรียบร้อย จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ได้ใช้อาวุธปืนจี้บังคับขู่เข็ญเจ้าทรัพย์กับพวกแล้วใช้เชือกมัดรวมกันไว้และใช้อาวุธปืนยิงเจ้าทรัพย์กับพวกถึงแก่ความตาย ส่วนนายวิสูตรเจ้าทรัพย์อีกคนหนึ่งถูกกระสุนปืนได้รับบาดเจ็บ แล้วจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ได้ร่วมกันเอาทรัพย์ของเจ้าทรัพย์และรถยนต์บรรทุกและข้าวสารที่อยู่ในรถไป แล้ววินิจฉัยว่า ที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ปล้นทรัพย์นั้นชอบแล้ว แต่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรค 2 นั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย เพราะการปล้นทรัพย์รายนี้มีเหตุฉกรรจ์ตามวรรคท้ายของมาตรา 340 ประกอบด้วยคือการปล้นทรัพย์รายนี้เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ผู้ที่เป็นตัวการร่วมการปล้นทรัพย์ย่อมต้องมีความผิดตามวรรคท้ายนี้ด้วยทุกคน แม้คดีนี้จำเลยที่ 1 ได้ร่วมทำการปล้นทรัพย์ในระยะแรกและมิได้อยู่ด้วยในขณะที่จำเลยอื่นฆ่าเจ้าทรัพย์กับพวก จำเลยที่ 1 ก็ต้องรับผิดฐานปล้นทรัพย์ เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

(สำหรับประเด็นอื่น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับศาลอุทธรณ์)

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคท้าย ลงโทษจำคุกตลอดชีวิตนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share