แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 2 ร่วมวางแผนกับจำเลยที่ 1 และ ส. มาก่อนเกิดเหตุเพื่อที่จะมากระทำความผิด แต่ขณะที่จำเลยที่ 1 และ ส. กระทำความผิดเอาทรัพย์ของผู้ตายไป จำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์แยกทางออกไปก่อน ไม่ได้รออยู่ใกล้กับที่เกิดเหตุที่จะมีเวลาเพียงพอที่จะช่วยเหลือจำเลยที่ 1 และ ส. ในขณะกระทำความผิดได้ จึงไม่ใช่เป็นการแบ่งหน้าที่กันทำอันจะเป็นตัวการในการกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 และ ส. ได้ จำเลยที่ 2 คงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายเท่านั้น หาใช่ร่วมกันเป็นตัวการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป อันจะเป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ด้วยไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 289, 340, 340 ตรี, 83, 33 ริบรถจักรยานยนต์ยี่ห้อยามาฮ่าและมีดปลายแหลมของกลาง และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนนาฬิกาข้อมือหรือใช้ราคาทรัพย์ 3,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ
จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์แยกฟ้องจำเลยที่ 2 เป็นคดีใหม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (6) (7), 340 ทวิ, 83 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 แต่ทั้งสองบทมีโทษเท่ากัน จึงให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (6) (7) ลงโทษประหารชีวิต จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (2) คงจำคุกตลอดชีวิต ริบรถจักรยานยนต์ยี่ห้อยามาฮ่าและมีดปลายแหลมของกลาง ให้จำเลยที่ 1 ร่วมกันคืนนาฬิกาข้อมือหรือใช้ราคาทรัพย์ 3,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
โจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างไม่อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นส่งสำนวนมายังศาลอุทธรณ์ภาค 2 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 วรรคสอง
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (6) (7), 339 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 83 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 289 (6) (7) ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำเลยที่ 1 อายุกว่าสิบเจ็ดปีแต่ยังไม่เกินยี่สิบปี เห็นสมควรลดมาตราส่วนโทษที่กำหนดไว้ สำหรับความผิดนั้นลงกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ประกอบมาตรา 52 (2) จำคุก 50 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุก 25 ปี คืนเงิน 320 บาท ของกลางแก่จำเลยที่ 1 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นฎีกาฟังว่า จำเลยที่ 1 กับนายสมชายร่วมกันชิงเอารถจักรยานยนต์ 1 คัน โทรศัพท์เคลื่อนที่ 1 เครื่อง นาฬิกาข้อมือ 1 เรือน และเงิน 500 บาท ของผู้ตายแล้วใช้มีดเชือดคอผู้ตายจนถึงแก่ความตาย
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในข้อแรกว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาอ้างว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ตามทางนำสืบของโจทก์ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมวางแผนการกระทำความผิดโดยมอบมีดให้นายสมชายไปใช้ในการกระทำความผิด แม้จำเลยที่ 2 จะขับรถจักรยานยนต์แยกทางกลับไปก่อน แต่การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการร่วมมือก่อนเกิดการกระทำความผิดขึ้น จึงเป็นการกระทำโดยใกล้ชิดกับเหตุการณ์และนายสมชายกับจำเลยที่ 1 ได้ลงมือกระทำความผิดต่อเนื่องกันไป อันเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำ ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการในการทำความผิดด้วยนั้น เห็นว่า แม้จำเลยที่ 2 จะร่วมวางแผนกับจำเลยที่ 1 และนายสมชายมาก่อนเกิดเหตุเพื่อที่จะมากระทำความผิดก็ตาม แต่ขณะที่จำเลยที่ 1 และนายสมชายกระทำความผิดเอาทรัพย์ของผู้ตายไป จำเลยที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์แยกทางออกไปก่อน ไม่ได้รออยู่ใกล้กับที่เกิดเหตุที่จะมีเวลาเพียงพอ ที่จะช่วยเหลือจำเลยที่ 1 และนายสมชายในขณะกระทำความผิดได้ จึงไม่ใช่เป็นการแบ่งหน้าที่กันทำอันจะเป็นตัวการในการกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 และนายสมชายได้จำเลยที่ 2 คงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 และนายสมชายเท่านั้น หาใช่ร่วมกันเป็นตัวการกระทำความผิดชิงทรัพย์ด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป อันจะเป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ด้วยไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังในส่วนนี้ว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายจึงชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน