คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7382/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในวันนัดพร้อม คู่ความทั้งสองฝ่ายแถลงรับข้อเท็จจริงว่าแผนที่พิพาทของเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรีถูกต้องตรงกับความเป็นจริง ศาลชั้นต้นจึงให้เลื่อนนัดชี้สองสถานไป ครั้งถึงวันนัดชี้สองสถาน จำเลยแถลงคัดค้านเรื่องเนื้อที่ตามแผนที่พิพาทจึงขอให้เจ้าพนักงานที่ดินจัดทำแผนที่พิพาทใหม่ แต่โจทก์ไม่ยินยอม ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้ยกเลิกการทำแผนที่พิพาทกลาง ต่อมาโจทก์ได้อ้างพนักงานที่ดินผู้จัดทำแผนที่พิพาทมาเป็นพยานต่อศาล เพื่อเบิกความยืนยันถึงรายละเอียดและวิธีการจัดทำแผนที่พิพาทดังกล่าว พร้อมกันนั้นทนายโจทก์ได้ส่งเอกสารแผนที่พิพาทมาเป็นพยานต่อศาลด้วย กรณีจึงเห็นได้ว่า โจทก์เพียงแต่อ้างแผนที่พิพาทเป็นเอกสารฉบับหนึ่งเท่านั้น ซึ่งศาลจะรับฟังหรือไม่ก็แล้วแต่ดุลพินิจของศาลทั้งการอ้างเอกสารเป็นพยานของคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นเอกสารที่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งหรือศาลต้องรับรองความถูกต้องเสียก่อน ฉะนั้น การที่จำเลยอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจของศาลชั้นต้นในการรับฟังพยานเอกสาร ถือเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ดังนั้น เมื่อคดีจำเลยต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง แม้ศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัยปัญหาข้อนี้ให้โดยอาจเข้าใจว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ก็ย่อมเป็นการไม่ชอบตามนัยแห่ง ป.วิ.พ. มาตรา 242 (1) และถือว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวได้ยุติไปแล้วตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ดังนี้ ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นจึงไม่อาจรับรองให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเรื่องนี้ได้อีก ทั้งศาลฎีกาก็ไม่อาจพิจารณาฎีกาของจำเลยได้ด้วยเพราะเป็นฎีกาที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ อันเป็นการต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนขนย้ายบ้านพิพาทเลขที่ ๙/๙ และ ๙/๑๐ ตำบลบ้านสวน พร้อมทรัพย์สินต่าง ๆ และบริวารออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๔๕๐ จังหวัดชลบุรี กับชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน ๙,๘๘๐ บาท และค่าเสียหายในอัตราเดือนละ ๓๘๐ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนขนย้ายบ้านเลขที่ ๙/๙ และ ๙/๑๐ พร้อมด้วยทรัพย์สินและบริวารดังกล่าวออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๔๕๐ ของโจทก์กับให้ชำระค่าเสียหายในอัตราเดือนละ ๓๘๐ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนขนย้ายทรัพย์และบริวารออกจากที่ดินพิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คืนค่าขึ้นศาลทั้งสองศาลเฉพาะส่วนที่เกิน ๒๐๐ บาท แก่โจทก์และจำเลยตามลำดับ
จำเลยฎีกาโดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่า การที่ศาลชั้นต้นรับฟังแผนที่พิพาทเป็นพยานหลักฐานฝ่ายโจทก์และศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษายืนตามนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้หลังจากเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรีได้จัดทำแผนที่พิพาทเสร็จเรียบร้อยแล้ว ในวันนัดพร้อมคู่ความ (ทั้งสองฝ่าย) แถลงรับข้อเท็จจริงกันว่า แผนที่พิพาทของเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรีฉบับดังกล่าวถูกต้องตรงกับความเป็นจริง ศาลชั้นต้นจึงให้เลื่อนการนัดชี้สองสถานไป ครั้นถึงวันนัดชี้สองสถาน จำเลยแถลงคัดค้านเรื่องเนื้อที่ดินตามแผนที่พิพาทมากกว่าเนื้อที่ดินในโฉนดจึงขอให้เจ้าพนักงานที่ดินจัดทำแผนที่พิพาทใหม่ แต่โจทก์ไม่ยินยอม ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งว่า เมื่อไม่สามารถรับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทำแผนที่พิพาทกลางดังกล่าวจึงให้ยกเลิกการทำแผนที่พิพาทกลาง ต่อมาโจทก์ได้อ้างนายวัฒนา วัลลดาทิตย์ พนักงานที่ดินผู้จัดทำแผนที่พิพาทมาเป็นพยานต่อศาล เพื่อเบิกความยืนยันถึงรายละเอียดและวิธีการจัดทำแผนที่พิพาทดังกล่าวตลอดจนเจ้าของที่ดินข้างเคียงประมาณ ๒ ถึง ๓ ราย ได้มาระวังแนวเขตแล้วด้วย พร้อมกันนั้นทนายโจทก์ได้ส่งเอกสารแผนที่พิพาทมาเป็นพยานต่อศาลด้วย กรณีจึงเป็นที่เห็นได้ว่า แผนที่พิพาทซึ่งศาลชั้นต้นได้สั่งยกเลิกแล้ว หรือเพียงแต่สั่งยกเลิกการจัดทำแผนที่พิพาทกลางใหม่หรือไม่ก็ตามแต่โจทก์ก็เพียงอ้างเป็นพยานเอกสารฉบับหนึ่งเท่านั้น อันที่ศาลจะรับฟังหรือไม่ก็ได้แล้วแต่ดุลพินิจของศาล และการอ้างเอกสารเป็นพยานของคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นเอกสารที่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งหรือศาลต้องรับรองความถูกต้องเสียก่อนก็หาไม่ ฉะนั้นการที่จำเลยอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจของศาลชั้นต้นในการรับฟังพยานเอกสารดังกล่าวไม่ว่าจะด้วยเหตุผลประการใดก็ถือเป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ดังนั้น เมื่อคดีจำเลยต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงดังรายละเอียดที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ได้กล่าวไว้แล้ว แม้ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ จะได้วินิจฉัยปัญหาข้อนี้ให้โดยอาจเข้าใจว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ก็ย่อมเป็นการไม่ชอบตามนัยแห่ง ป.วิ.พ. มาตรา ๒๔๒ (๑) และถือว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวได้ยุติไปแล้วตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ดังนี้ ผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นจึงไม่อาจรับรองให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเรื่องนี้ได้อีก ทั้งศาลฎีกาก็ไม่อาจพิจารณาฎีกาของจำเลยได้ด้วยเพราะเป็นฎีกาที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค ๑ อันเป็นการต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๒๔๙ วรรคหนึ่ง
พิพากษายืน.

Share