แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ศาลแรงงานกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้เพียงสองข้อ คือ ข้อ 1. โจทก์ทุจริตต่อหน้าที่หรือไม่ และข้อ 2. โจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าหรือไม่ เพียงใด แต่คำให้การของจำเลยนอกจากจะทำให้การต่อสู้ว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่แล้ว จำเลยยังให้การว่าโจทก์ยังฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบหรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมของจำเลยเป็นกรณีร้ายแรงอีกด้วย ดังนั้นในประเด็นข้อ 2. นอกจากจะต้องวินิจฉัยว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่หรือไม่แล้วยังต้องวินิจฉัยว่าโจทก์ฝ่าฝืนข้องบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบหรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมของจำเลยหรือไม่ด้วยเมื่อศาลแรงงานพิพากษาคดีโดยมิได้วินิจฉัยในประเด็นหลัง จึงเป็นการพิพากษาที่ไม่ชอบด้วย พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 51 วรรคหนึ่ง แต่ข้อเท็จจริงตามที่ศาลแรงงานฟังเป็นยุติธรรมมาแล้วเพียงพอที่จะวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวได้ ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยประเด็นนี้เสียเลยโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยอีก
ตามคำสั่งที่จำเลยบอกเลิกจ้างโจทก์อ้างเหตุเลิกจ้างเพียงเหตุเดียวว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ จำเลยยกเหตุอื่นเพื่อไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยขึ้นอ้างในภายหลังไม่ได้ ต้องห้ามตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 17 วรรคสาม และมาตรา 119 ข้อห้ามดังกล่าวจำกัดอยู่เฉพาะไม่ให้นายจ้างยกขึ้นต่อสู้เพื่อให้พ้นความรับผิดไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยเท่านั้น ไม่รวมถึงสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า แม้ในคำสั่งที่จำเลยบอกเลิกจ้างโจทก์จะอ้างเหตุเลิกจ้างเพียงเหตุเดียวว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ จำเลยก็สามารถยกเหตุว่าโจทก์จงใจขัดคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของจำเลยขึ้นต่อสู้ในภายหลังเพื่อไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 583 ได้
การที่โจทก์ทำการตรวจซ่อมรถให้แก่ผู้อื่นในเต็นท์หลังศูนย์บริการของจำเลย ย่อมมีเหตุอันควรที่จำเลยจะไม่ไว้วางใจให้โจทก์ทำงานอยู่ในศูนย์บริการของจำเลยแห่งเดิมอีกต่อไป การที่จำเลยมีคำสั่งย้ายโจทก์ไปทำงานที่สาขาอื่นไม่ปรากฏว่ามีการลดตำแหน่งและเงินเดือนของโจทก์ จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายเมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตามจึงเป็นการจงใจขัดคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายจำเลยมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตาม ป.พ.พ. มาตรา 583
ย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้รวมการพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน โดยให้เรียกโจทก์ตามลำดับสำนวนว่า โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 12,691 บาท และโจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 13,550.33 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 62,320 บาท และโจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 61,360 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันเลิกจ้างไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า วันเกิดเหตุโจทก์ทั้งสองตรวจซ่อมรถยนต์ของนายสุพัฒน์ คุ้มเลิศกิจพานิช โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าได้ใช้เครื่องมือของจำเลยและไม่ได้ตรวจซ่อมในศูนย์บริการของจำเลย ทั้งไม่ปรากฏว่าโจทก์ทั้งสองได้รับค่าตอบแทน ยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์ทั้งสองทุจริตต่อหน้าที่อันเป็นเหตุให้จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมาย และจำเลยบอกเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า เมื่อโจทก์ทั้งสองทำงานกับจำเลยติดต่อกันมาครบ 6 ปี แต่ไม่ครบ 10 ปี จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 240 วัน พิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 12,691 บาท และโจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 13,550.33 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 62,320 บาท และโจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 61,360 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันเลิกจ้าง (วันที่ 7 มกราคม 2543) ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า แม้ศาลแรงงานกลางจะกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้เพียงสองข้อ คือ ข้อ 1. โจทก์ทั้งสองทุจริตต่อหน้าที่หรือไม่ และข้อ 2. โจทก์ทั้งสองมีสิทธิได้รับค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าหรือไม่ เพียงใด เท่านั้น แต่ตามคำให้การของจำเลยนอกจากจะให้การต่อสู้ว่าโจทก์ทั้งสองทุจริตต่อหน้าที่แล้ว ยังฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบหรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมของจำเลยเป็นกรณีร้ายแรงอีกด้วย ดังนั้น การที่ศาลแรงงานกลางจะวินิจฉัยในประเด็น ข้อ 2. ดังกล่าว นอกจากจะต้องวินิจฉัยว่าโจทก์ทั้งสองทุจริตต่อหน้าที่หรือไม่แล้ว ยังต้องวินิจฉัยว่าโจทก์ทั้งสองฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบหรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นธรรมของจำเลยหรือไม่ตามข้อต่อสู้ของจำเลยอีกด้วย เมื่อศาลแรงงานกลางพิพากษาคดีโดยมิได้วินิจฉัยในประเด็นหลัง จึงเป็นการพิพากษาที่ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 51 วรรคหนึ่ง อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น แต่เนื่องจากข้อเท็จจริงตามที่ศาลแรงงานกลางฟังเป็นยุติมาแล้วเพียงพอที่จะวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวได้ จึงเห็นสมควรวินิจฉัยประเด็นนี้เสียเลยโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยอีก
สำหรับปัญหาว่าจำเลยต้องจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ทั้งสองตามฟ้องหรือไม่นั้น ปรากฏตามคำสั่งที่จำเลยบอกเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองอ้างเหตุเลิกจ้างเพียงเหตุเดียวว่าโจทก์ทั้งสองทุจริตต่อหน้าที่มิได้ระบุเหตุอื่นไว้ด้วย จำเลยจะยกเหตุอื่นเพื่อไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยขึ้นอ้างในภายหลังไม่ได้ ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 17 วรรคสาม และมาตรา 119 ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ทั้งสอง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล แต่ข้อห้ามดังกล่าวจำกัดอยู่เฉพาะไม่ให้นายจ้างยกเหตุตามมาตรา 119 ขึ้นต่อสู้เพื่อให้พ้นความรับผิดไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยเท่านั้น ไม่รวมถึงสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าด้วย ดังนั้นแม้ในคำสั่งที่จำเลยบอกเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองจะอ้างเหตุเลิกจ้างเพียงเหตุเดียวว่าโจทก์ทั้งสองทุจริตต่อหน้าที่ดังกล่าวแล้ว จำเลยก็สามารถยกเหตุว่าโจทก์ทั้งสองจงใจขัดคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของจำเลยขึ้นต่อสู้ในภายหลังเพื่อไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ทั้งสองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 ได้ และแม้ศาลแรงงานกลางจะพิจารณาวินิจฉัยเรื่องโจทก์ทั้งสองตรวจซ่อมรถของนายสุพัฒน์ในวันเกิดเหตุว่า พยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบมายังฟังไม่ได้ว่าโจทก์ทั้งสองกระทำการทุจริตต่อหน้าที่ก็ตาม แต่การที่โจทก์ทั้งสองทำการตรวจซ่อมรถให้แก่ผู้อื่นในเต็นท์หลังศูนย์บริการของจำเลยย่อมมีเหตุอันควรที่จำเลยจะไม่ไว้วางใจให้โจทก์ทั้งสองทำงานอยู่ในศูนย์บริการของจำเลยแห่งเดิมคือที่สาขาสำเหร่อีกต่อไป ดังนั้น การที่จำเลยมีคำสั่งย้ายโจทก์ทั้งสองไปทำงานที่สาขาถนนกิ่งแก้ว โดยไม่ปรากฏว่ามีการลดตำแหน่งและเงินเดือนของโจทก์ทั้งสองแต่อย่างใด จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อโจทก์ทั้งสองไม่ปฏิบัติตาม จึงเป็นการจงใจขัดคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมาย จำเลยมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองโดยไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ทั้งสองพร้อมดอกเบี้ย ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอของโจทก์ทั้งสองที่ขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและดอกเบี้ยของเงินจำนวนดังกล่าว นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง.