แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้คำฟ้องของโจทก์จะอ้างว่าจำเลยได้ส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์แล้วก็ตาม แต่ก็ปรากฏตามคำฟ้องว่า จำเลยยังโต้แย้งอยู่ว่าไม่ได้ขายที่ดินพิพาทให้โจทก์และที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย คำขอท้ายฟ้องโจทก์ขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท และให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่โจทก์ จึงเป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องเรียกเอาที่ดินพิพาทซึ่งจำเลยปฏิเสธว่าไม่ได้ขายให้โจทก์มาเป็นของโจทก์ ซึ่งหากโจทก์ชนะคดี โจทก์ย่อมได้ไปซึ่งสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ เมื่อที่ดินพิพาทมีราคาไม่เกิน 300,000 บาท จึงอยู่ในอำนาจของศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 17 ประกอบมาตรา 25 (4) ศาลจังหวัดชอบที่จะมีคำสั่งให้โอนคดีไปยังศาลแขวงตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 16 วรรคสี่ การที่ศาลจังหวัดมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องและจำหน่ายคดีของโจทก์เป็นการไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าโจทก์เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 2568 เนื้อที่ประมาณ 5 ไร่ 50 ตารางวา ตั้งอยู่ที่ตำบลแดงหม้อ (เดิมนาคำใหญ่) อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาท และให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ดังกล่าวให้แก่โจทก์ทันที หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์ส่งหนังสือรับรองราคาประเมินที่ดินพิพาทเพื่อประกอบการพิจารณาสั่งคำฟ้องแล้วมีคำสั่งว่า โจทก์ฟ้องอ้างว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโดยซื้อมาจากจำเลยแต่ภายหลังจำเลยกลับปฏิเสธว่าจำเลยไม่ได้ขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ โจทก์และจำเลยโต้แย้งสิทธิในที่ดินพิพาทกัน เป็นคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อที่ดินพิพาทมีราคาเพียง 76,875 บาท ไม่อยู่ในอำนาจของศาลชั้นต้นที่จะรับไว้พิจารณาได้ จึงไม่รับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณา จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความ ให้คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดเว้นแต่ค่าทนายความแก่โจทก์
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า คดีนี้อยู่ในอำนาจของศาลชั้นต้นที่จะพิจารณาพิพากษาหรือไม่ เห็นว่า แม้คำฟ้องของโจทก์จะกล่าวอ้างว่าจำเลยได้ส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์แล้วก็ตาม แต่ก็ปรากฏตามคำฟ้องว่า จำเลยยังโต้แย้งอยู่ว่าไม่ได้ขายที่ดินพิพาทให้โจทก์และที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย คำขอท้ายฟ้องโจทก์ขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท และให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่โจทก์ สภาพแห่งคำฟ้องและคำขอบังคับจึงเป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องเรียกเอาที่ดินพิพาทซึ่งจำเลยปฏิเสธว่าไม่ได้ขายให้โจทก์มาเป็นของโจทก์ ซึ่งหากศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี โจทก์ย่อมได้ไปซึ่งสิทธิครอบครองหรือความเป็นเจ้าของในที่ดินพิพาทจึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้หรือเป็นคดีมีทุนทรัพย์ โดยมีทุนทรัพย์เท่ากับราคาที่ดินพิพาท เมื่อที่ดินพิพาทมีราคาไม่เกินสามแสนบาท คดีจึงอยู่ในอำนาจของศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 17 ประกอบมาตรา 25 (4) ศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลจังหวัดไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาได้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 18 ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าคดีไม่อยู่ในอำนาจของศาลชั้นต้นที่จะรับไว้พิจารณาจึงชอบแล้วอุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม การที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ต่อศาลชั้นต้น เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีไม่อยู่ในอำนาจของศาลชั้นต้นที่จะพิจารณาพิพากษา ก็ชอบที่จะมีคำสั่งโอนคดีไปยังศาลแขวงที่มีเขตอำนาจตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 16 วรรคสี่ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องและจำหน่ายคดีของโจทก์จึงเป็นการไม่ชอบตามบทกฎหมายดังกล่าว ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้
พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับคำฟ้องของโจทก์ ให้ศาลชั้นต้นโอนคดีนี้ไปยังศาลแขวงอุบลราชธานีเพื่อพิจารณาพิพากษาต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ.