คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7354/2546

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การให้บริการบัตรเครดิตของธนาคารโจทก์ โจทก์ได้เรียกเก็บค่าบริการและค่าธรรมเนียมด้วย โจทก์จึงเป็นผู้รับทำการงานต่าง ๆ ให้แก่จำเลย และการที่โจทก์ได้ชำระเงินแก่เจ้าหนี้ของจำเลยแทนจำเลยไปก่อน แล้วเรียกเก็บเงินจากจำเลยภายหลังเป็นการเรียกเอาค่าที่โจทก์ได้ออกเงินทดรองไปสิทธิเรียกร้องดังกล่าวจึงมีอายุความ2 ปี โจทก์ได้บอกเลิกสัญญาใช้บัตรเครดิตเมื่อเดือนตุลาคม 2540 แต่โจทก์มาฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2544 คดีโจทก์จึงขาดอายุความ แม้จำเลยจะชำระหนี้บางส่วนแก่โจทก์เป็นเงิน 500 บาท ภายหลังจากหนี้ขาดอายุความแล้ว ก็เพียงแต่ทำให้จำเลยเรียกเงินดังกล่าวคืนไม่ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/28 วรรคหนึ่ง เท่านั้น ไม่เป็นการรับสภาพหนี้อันจะทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามมาตรา 193/14(1) ทั้งมิใช่กรณีที่จำเลยสละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความตามมาตรา 193/24

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาเป็นสมาชิกบัตรเครดิตกรุงไทยได้รับอนุมัติวงเงินใช้บัตรเครดิต 20,000 บาท ต่อมาจำเลยได้เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันและทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเฉพาะสินเชื่อธนวัฏบัตรเครดิต โจทก์ได้อนุมัติวงเงินเบิกเกินบัญชีให้จำเลย 20,000 บาท ตามคำขอ จำเลยใช้บัญชีกระแสรายวันดังกล่าวเป็นบัญชีเดินสะพัดสำหรับชำระหนี้หรือหักทอนบัญชีระหว่างโจทก์และจำเลยในการใช้บัตรเครดิตและหรือเบิกเงินเกินบัญชี จำเลยใช้บัตรเครดิตชำระค่าสินค้าและบริการตลอดจนเบิกถอนเงินเกินบัญชีจากโจทก์หลายครั้ง ถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2542 จำเลยเป็นหนี้โจทก์จำนวน31,511.77 บาท โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระหนี้แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้จำนวน 5,292.63 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17.75 ต่อปี ของต้นเงิน 4,306.09 บาท และหนี้จำนวน 37,808.90 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี ของต้นเงิน 19,934.49 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ 2 ปี กล่าวคือ หนี้ตามบัตรเครดิตกรุงไทย จำนวน 4,790.69 บาท จำเลยเป็นหนี้อยู่ก่อนวันที่ 16 ตุลาคม 2540 และหนี้สินเชื่อตามบัตรเครดิตธนวัฏ จำนวน 19,934.49 บาท จำเลยเป็นหนี้อยู่ก่อนวันที่ 31 สิงหาคม 2538 โจทก์อนุมัติให้จำเลยใช้บัตรเครดิตชำระค่าสินค้า โจทก์ชำระค่าสินค้าแทนจำเลยแล้วเรียกเก็บจากจำเลย โจทก์จึงเป็นผู้ประกอบธุรกิจรับทำการงานต่าง ๆ เรียกเอาเงินที่ได้ออกทดรองไปมีอายุความ 2 ปี เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้เกิน 2 ปี คดีโจทก์ขาดอายุความ แม้ในวันที่ 30 ธันวาคม 2542 จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 500 บาท ก็เป็นการชำระหนี้ที่ขาดอายุความแล้ว ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยสละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 43,101.53 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 1,500 บาท

จำเลยอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223ทวิ

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาวินิจฉัยมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะในข้อกฎหมายตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ โดยจำเลยอุทธรณ์ว่า การที่จำเลยชำระหนี้ให้แก่โจทก์ภายหลังจากหนี้ขาดอายุความแล้วทำให้จำเลยไม่สามารถเรียกเงินจำนวนดังกล่าวคืนจากโจทก์เท่านั้น หาทำให้อายุความที่ขาดไปแล้วสะดุดหยุดลงและเริ่มนับอายุความขึ้นใหม่ ทั้งมิใช่กรณีที่จำเลยสละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/24 ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 ประกอบมาตรา 247ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยทำสัญญาเป็นสมาชิกบัตรเครดิตของโจทก์ โดยจำเลยสามารถนำบัตรเครดิตไปใช้แทนเงินสดในการชำระค่าสินค้า ค่าบริการต่าง ๆ ตลอดจนเบิกเงินสดจากตู้เบิกเงินอัตโนมัติ ซึ่งโจทก์มีสิทธิเรียกเก็บค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ทั้งนี้โจทก์จะออกเงินทดรองแทนไปก่อนแล้วจะเรียกเก็บจากจำเลยในภายหลัง จำเลยได้นำบัตรเครดิตไปชำระค่าสินค้าค่าบริการ รวมทั้งได้เบิกถอนเงินสดหลายครั้ง โจทก์ได้แจ้งยอดรายการใช้จ่ายบัตรเครดิตให้จำเลยทราบแล้วแต่จำเลยนำเงินเข้าบัญชีชำระหนี้แต่จำนวนน้อยซึ่งไม่เพียงพอชำระหนี้ โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาใช้บัตรเครดิตเมื่อเดือนตุลาคม2540 ต่อมาวันที่ 30 ธันวาคม 2542 จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 500 บาทเห็นว่า การให้บริการดังกล่าวของโจทก์ โจทก์ได้เรียกเก็บค่าบริการและค่าธรรมเนียมด้วย โจทก์จึงเป็นผู้รับทำการงานต่าง ๆ ให้แก่จำเลย และการที่โจทก์ได้ชำระเงินแก่เจ้าหนี้ของจำเลยแทนจำเลยไปก่อน แล้วจึงเรียกเก็บเงินจากจำเลยภายหลัง เป็นการเรียกเอาค่าที่โจทก์ได้ออกเงินทดรองไป ดังนั้น สิทธิเรียกร้องดังกล่าวจึงมีอายุความ 2 ปี ซึ่งโจทก์ได้บอกเลิกสัญญาใช้บัตรเครดิตเมื่อเดือนตุลาคม 2540 แต่โจทก์มาฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2544 คดีโจทก์จึงขาดอายุความและศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า แม้จำเลยจะชำระหนี้แก่โจทก์จำนวน 500 บาท ภายหลังจากหนี้ขาดอายุความแล้ว ก็เพียงแต่ทำให้จำเลยเรียกเงินจำนวน 500 บาท ดังกล่าวคืนไม่ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/28 วรรคหนึ่ง เท่านั้น ไม่เป็นการรับสภาพหนี้ อันจะทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามมาตรา 193/14(1) และทั้งมิใช่กรณีที่จำเลยสละเสียซึ่งประโยชน์แห่งอายุความตามมาตรา 193/24 ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น

พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นฎีกาให้เป็นพับ”

Share