คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2117/2553

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การกระทำของจำเลยทั้งสองจะเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงที่จำเลยทั้งสองกระทำขึ้นต่อโจทก์ มิได้เกิดขึ้นเมื่อศาลใดศาลหนึ่งมีคำพิพากษา หรือเมื่อมีคำพิพากษาถึงที่สุด การที่โจทก์อ้างว่าจำเลยทั้งสองกระทำละเมิดต่อโจทก์ โดยแกล้งนำข้อกล่าวหาที่อ้างว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญามาฟ้องคดีเพื่อไม่ให้โจทก์ได้รับชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินนั้น โจทก์ย่อมรู้ดีแล้วว่าการที่จำเลยทั้งสองยื่นฟ้องเป็นการกระทำที่ละเมิดต่อโจทก์ เพราะเป็นการกล่าวอ้างที่ไม่ตรงความเป็นจริง ส่วนศาลจะพิพากษาอย่างไรเป็นเรื่องการรับฟังพยานหลักฐาน แม้จำเลยทั้งสองจะเป็นฝ่ายชนะคดีก็มิได้หมายความว่าจำเลยทั้งสองจะมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ เมื่อโจทก์รู้อยู่แล้วว่าโจทก์มิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา แต่จำเลยทั้งสองกล่าวอ้างหาว่าโจทก์ผิดสัญญา ทั้งยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งชั่วคราวก่อนพิพากษาห้ามธนาคารผู้รับอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินจ่ายเงินให้แก่โจทก์และศาลชั้นต้นมีคำสั่งอายัดเงินไว้ชั่วคราวก่อนย่อมเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ ซึ่งโจทก์ก็ได้บรรยายฟ้องว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำละเมิดของจำเลยทั้งสองด้วย แต่ผลของการกระทำละเมิดเกี่ยวกับคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้คุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาเป็นผลทำให้โจทก์ไม่ได้รับเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงิน 2 ฉบับ ซึ่งแต่ละฉบับลงวันที่ต่างกันหากศาลชั้นต้นไม่มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา โจทก์จะมีสิทธิได้รับเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินในวันที่ 25 กันยายน 2535 และ 25 มีนาคม 2536 ดังนั้น แม้โจทก์จะรู้ตัวว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้กระทำละเมิด แต่ยังไม่รู้ว่าจะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายหรือไม่ อายุความจึงยังไม่เริ่มนับ เพราะระหว่างนั้นศาลชั้นต้นอาจเพิกถอนคำสั่งที่ให้คุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาก็ได้ จึงถือว่าวันที่โจทก์รู้ตัวว่าจำเลยเป็นผู้กระทำละเมิดและต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนคือวันที่ตั๋วสัญญาใช้เงินถึงกำหนดคือวันที่ 25 กันยายน 2535 และ 25 มีนาคม 2536 อย่างไรก็ตาม นับแต่วันดังกล่าวข้างต้นจนถึงวันฟ้องเป็นระยะเวลาเกินกว่า 1 ปี ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 16,960,956.16 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เดิมจำเลยทั้งสองยื่นฟ้องโจทก์ต่อศาลชั้นต้นเรื่องผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินโดยนำที่ดินป่าสงวนแห่งชาติมาขายให้จำเลยทั้งสองระหว่างการพิจารณาจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาโดยให้ศาลมีคำสั่งยึดหรือายัดตั๋วสัญญาใช้เงินซึ่งจำเลยที่ 2 จะต้องจ่ายให้โจทก์และให้ศาลมีคำสั่งห้ามธนาคารผู้รับอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินจ่ายเงินให้แก่โจทก์ วันที่ 27 กรกฎาคม 2535 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้คุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาโดยให้ระงับการจ่ายเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับลงวันที่ 25 กันยายน 2535 และ 25 มีนาคม 2536 จำนวนเงิน 16,870,000 บาท และ 13,074,870 บาท ตามลำดับ ต่อมาวันที่ 20 ตุลาคม 2540 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องและมีคำสั่งเพิกถอนการอายัดเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินทั้ง 2 ฉบับ โจทก์นำตั๋วสัญญาใช้เงินทั้ง 2 ฉบับ ไปเรียกเก็บเงินวันที่ 28 ตุลาคม 2540 จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 8 วันที่ 5 เมษายน 2542
มีประเด็นต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่โดยโจทก์ฎีกาว่า การที่จำเลยทั้งสองยื่นคำขอคุ้มครองชั่วคราวและศาลชั้นต้นมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาเป็นกระบวนการตามกฎหมายที่จำเลยทั้งสองมีสิทธิที่จะขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองได้ในขณะนั้น แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีคำพิพากษาและคดีถึงที่สุดแล้ว ข้อเท็จจริงจึงฟังเป็นยุติว่า เหตุที่จำเลยทั้งสองฟ้องและอ้างเป็นเหตุขอคุ้มครองชั่วคราวไม่มีมูลความจริง และรับฟังไม่ได้นั้น เห็นว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองจะเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงที่จำเลยทั้งสองกระทำขึ้นต่อโจทก์ มิได้เกิดขึ้นเมื่อศาลใดศาลหนึ่งมีคำพิพากษา หรือเมื่อคำพิพากษาถึงที่สุดการที่โจทก์อ้างว่าจำเลยทั้งสองกระทำละเมิดต่อโจทก์โดยแกล้งนำข้อกล่าวหาที่อ้างว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญามาฟ้องคดีเพื่อไม่ให้โจทก์ได้รับชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินนั้นโจทก์ย่อมรู้ดีแล้วว่าการที่จำเลยทั้งสองยื่นฟ้องเป็นการกระทำที่ละเมิดต่อโจทก์ เพราะเป็นการกล่าวอ้างที่ไม่ตรงความเป็นจริง ส่วนศาลจะพิพากษาอย่างไรเป็นเรื่องการรับฟังพยานหลักฐาน แม้จำเลยทั้งสองจะเป็นฝ่ายชนะคดีก็มิได้หมายความว่าจำเลยทั้งสองจะมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ เมื่อโจทก์รู้อยู่แล้วว่าโจทก์มิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา แต่จำเลยทั้งสองกล่าวอ้างหาว่าโจทก์ผิดสัญญา ทั้งยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งชั่วคราวก่อนคำพิพากษาห้ามธนาคารผู้รับอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินจ่ายเงินให้แก่โจทก์และศาลชั้นต้นมีคำสั่งอายัดเงินไว้ชั่วคราวก่อนย่อมเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ ซึ่งโจทก์ก็ได้บรรยายฟ้องว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำละเมิดของจำเลยทั้งสองด้วย แต่ผลของการกระทำละเมิดเกี่ยวกับคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้คุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาเป็นผลทำให้โจทก์ไม่ได้รับเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงิน 2 ฉบับ ซึ่งแต่ละฉบับลงวันที่ต่างกัน หากศาลชั้นต้นไม่มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา โจทก์จะมีสิทธิได้รับเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินในวันที่ 25 กันยายน 2535 และ 25 มีนาคม 2536 ดังนั้น แม้โจทก์จะรู้ตัวว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้กระทำละเมิด แต่ยังไม่รู้ว่าจะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายหรือไม่อายุความจึงยังไม่เริ่มนับ เพราะระหว่างนั้นศาลชั้นต้นอาจเพิกถอนคำสั่งที่ให้คุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาก็ได้ จึงถือว่าวันที่โจทก์รู้ตัวว่าจำเลยเป็นผู้กระทำละเมิดและต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนคือวันที่ตั๋วสัญญาใช้เงินถึงกำหนดคือวันที่ 25 กันยายน 2535 และ 25 มีนาคม 2536 อย่างไรก็ตามนับแต่วันดังกล่าวข้างต้นจนถึงวันฟ้องเป็นระยะเวลาเกินกว่า 1 ปี ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ คำพิพากษาศาลฎีกาที่โจทก์กล่าวอ้างมานั้นไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในคดีนี้ ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ

Share