แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีฟ้องเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 175 ซึ่งเป็นคดีเกินอำนาจศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษานั้น เมื่อไต่สวนเห็นว่าคดีมีมูลแล้ว ศาลแขวงไม่มีอำนาจจะยกมาตรา 176 มาบังคับแก่คดี
ย่อยาว
ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ ๑ ทำเอกสารปลอมขึ้นแล้วนำมาแกล้งฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญาหาว่าโจทก์ปลอมเอกสาร จำเลยที่ ๒ เป็นทนายให้จำเลยที่ ๑ ในการฟ้องนั้น แต่ครั้งแล้วจำเลยได้ขอถอนฟ้องไปก่อนที่ศาลจะทำการไต่สวนมูลฟ้อง ศาลอนุญาต ต่อมาโจทก์จึงฟ้องเป็นคดีนี้ว่าจำเลยฟ้องเท็จแกล้งกล่าวหาโจทก์โดยไม่เป็นความจริง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๕
ศาลแขวงพระนรคเหนือไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีไม่มีมูลสำหรับจำเลยที่ ๒ แต่ส่วนจำเลยที่ ๑ นั้น คดีมีมูล แม้จะถอนฟ้องไปแล้ว แต่จำเลยยังไม่ได้ลุแก่โทษต่อศาล ไม่เข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๖ ให้ประทับฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๑
ทันใดที่ศาลอ่านคำสั่งนี้จบ จำเลยที่ ๑ แถลงขอรับสารภาพตามฟ้องและขอลุแก่โทษต่อศาล ศาลแขวงพระนครเหนือบันทึกในรายงานกระบวนพิจารณาว่าจำเลยกระทำผิดแล้วลุแก่โทษต่อศาลและขอถอนฟ้องแล้ว ยังไม่ควรลงโทษจำเลยตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๗๖ ให้จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ ๑
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า อัตราโทษตามประมวลกฎหมาย มาตรา ๑๗๕ นั้น เกินอำนาจศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา ๑๕ และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. ๒๔๙๙ มาตรา ๑๓, ๑๔ ฉะนั้น คดีสำหรับจำเลยที่ ๑ ซึ่งมีมูลนั้น ศาลแขวงจะหมายเรียกจำเลยที่ ๑ มาแก้คดีหรือยกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๖ื มาบังคับไม่ได้ เพราะเป็นการพิจารณาพิพากษาของศาลที่มีอำนาจ พิพากษาแก้ ให้ยกคำสั่งศาลแขวง
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์