คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7342/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การขอให้ศาลฎีกาลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ เป็นการขอให้ศาลฎีกาเปลี่ยนแปลงผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จำเลยจะต้องทำเป็นคำฟ้องฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เข้ามา เมื่อจำเลยไม่ได้ยื่นฎีกาแต่ทำมาเป็นเพียงคำแก้ฎีกาจึงเป็นการไม่ชอบตาม ป.วิ.อ. มาตรา 216 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 ริบของกลาง และบวกโทษของจำเลยที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5397/2544 ของศาลอาญา เข้ากับโทษในคดีนี้
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง จำคุก 5 ปี บวกโทษจำคุก 6 เดือน ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5397/2544 ของศาลอาญา เป็นจำคุก 5 ปี 6 เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 67 จำคุก 4 ปี คำให้การและทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน บวกโทษจำคุก6เดือนที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5397/2544 เป็นจำคุก 2 ปี 14 เดือน นอกจากที่แก้ไขให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า”พยานหลักฐานเท่าที่โจทก์นำสืบมาจึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะรับฟังได้ว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายดังฟ้องกรณีไม่จำต้องวินิจฉัยพยานหลักฐานของจำเลย ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า คำให้การและทางนำสืบของจำเลยไม่เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่สมควรลดโทษให้จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 นั้น เห็นว่า เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังว่าจำเลยยอมรับว่ามีการค้นพบเมทแอมเฟตามีนของกลางที่ตัวจำเลย จำเลยจึงมีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต คำให้การและทางนำสืบของจำเลยในส่วนนี้จึงเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ชอบที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 จะพิพากษาลดโทษให้จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้วที่จำเลยแก้ฎีกาขอให้ศาลฎีกาลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษมาด้วยนั้น เป็นการขอให้ศาลฎีกาเปลี่ยนแปลงผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ซึ่งต้องกระทำโดยยื่นเป็นคำฟ้องฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 มิใช่ขอมาในคำแก้ฎีกา จึงไม่เป็นประเด็นที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยให้ อย่างไรก็ดีในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาได้มีพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2545 มาตรา 8 และมาตรา 19 ยกเลิกความในมาตรา 15 และมาตรา 67 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 และให้ใช้ข้อความใหม่แทน โดยในความผิดฐานมีเมทแอม เฟตามีไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นบทที่ลงโทษจำเลยนั้น บทความผิดตามมาตรา 15 วรรคหนึ่ง ทั้งกฎหมายเดิมและกฎหมายที่แก้ไขใหม่คงใช้ข้อความทำนองเดียวกันจึงต้องใช้กฎหมายเดิมบังคับ ส่วนกำหนดโทษนั้นตามกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิดเป็นคุณมากกว่าในส่วนที่เกี่ยวกับโทษซึ่งมีหลายสถานที่จะลงได้กรณีโทษจำคุกจึงต้องใช้กฎหมายที่แก้ไขใหม่บังคับแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นอ้างและแก้ไขโดยปรับบทกฎหมายให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225″
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง (เดิม), 67 (ที่แก้ไขใหม่) ส่วนกำหนดโทษและนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share