คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1991/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

พฤติการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นไปโดยปัจจุบันทันด่วนต่อเนื่องจากการที่ผู้ตายใช้ศอกกระแทกหน้าอกจำเลย เป็นเหตุให้จำเลยชกต่อยผู้ตาย 1 ทีแล้ววิ่งหนีจากนั้น ส. จึงเข้าซ้ำเติมใช้มีดปลายแหลมแทงผู้ตาย ซึ่งจำเลยและ ส. ต่างคนต่างทำร้ายผู้ตายโดยมิได้สมคบกันมาก่อน ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยร่วมกับ ส. ฆ่าผู้ตายคงฟังได้แต่เพียงว่าจำเลยทำร้ายผู้ตายโดยชกผู้ตาย 1 ที จำเลยจึงต้องมีความผิดแต่เฉพาะการกระทำของตนเองฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 เท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับนายสมชาย จันทร์หอม ร่วมกันชกต่อยและใช้มีดปลายแหลมแทงนายบุญเลิศ สิงห์ทอง ถึงแก่ความตายขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 83, 33 ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 83 ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ศาลมีคำสั่งให้ริบมีดของกลางในคดีอื่นแล้ว จึงให้ยกคำขอส่วนนี้
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่าตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง จำเลยชกต่อยผู้ตาย 1 ที และนายสมชาย จันทร์หอม จำเลยในคดีอาญาของศาลชั้นต้นหมายเลขแดงที่ 2224/2535 ใช้มีดปลายแหลมเป็นอาวุธแทงทำร้ายผู้ตายถูกอวัยวะสำคัญหลายแผลโดยเจตนาฆ่า เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย คดีมีปัญหาว่าจำเลยร่วมกับนายสมชายฆ่าผู้ตายหรือไม่ โจทก์มีประจักษ์พยานปากเดียวคือนายบุญมา ลาฤทธิ์ซึ่งเบิกความว่า เห็นจำเลยและนายสมชายเป็นผู้ทำร้ายผู้ตายโดยจำเลยจับคอเสื้อด้านหลังของผู้ตายไว้แล้วชกต่อยผู้ตายส่วนนายสมชายแทงผู้ตาย สำหรับพฤติการณ์ก่อนเกิดเหตุก็ดีหรือหลังเกิดเหตุก็ดีจะเป็นอย่างไร ประจักษ์พยานโจทก์มิได้เบิกความถึง พยานหลักฐานที่โจทก์อาศัยอ้างอิงให้เห็นถึงพฤติการณ์ที่กล่าวอ้างว่าจำเลยสมคบกับนายสมชายฆ่าผู้ตายก็คือคำให้การรับสารภาพของจำเลยตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.6 และคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยตามเอกสารหมาย จ.3 ซึ่งตามเอกสารหมาย จ.3 และ จ.6 ปรากฏข้อความตรงกันอยู่ประการหนึ่งว่า จำเลยเข้าไปหาผู้ตายเพื่อสอบถามหาผู้ที่เป็นต้นเหตุให้นายแดงถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุม และข้อความดังกล่าวสอดคล้องกับที่จำเลยเบิกความว่าจำเลยเข้าไปสอบถามผู้ตายว่าทำไมตีกันจึงถูกผู้ตายทำร้ายโดยใช้ศอกกระแทกถูกหน้าอกเป็นเหตุให้จำเลยชกผู้ตายถูกที่กกหู 1 ที แล้วจำเลยวิ่งหลบหนีไปเพราะกลัวถูกพวกของผู้ตายเข้าช่วยทำร้ายจำเลย นอกจากนี้พยานหลักฐานของโจทก์ไม่ปรากฏว่าจำเลยรู้มาก่อนเกิดเหตุว่า นายสมชายพวกของจำเลยพกมีดปลายแหลมไปเที่ยวในงานและจำเลยคบคิดหรือชักชวนนายสมชายไปฆ่าผู้ตาย หรือจำเลยเข้าช่วยในการที่นายสมชายใช้มีดปลายแหลมเป็นอาวุธแทงผู้ตาย เห็นว่า ตามพฤติการณ์ดังกล่าวมีเหตุผลเชื่อได้ว่ากรณีที่เกิดขึ้นเป็นไปโดยปัจจุบันทันด่วนต่อเนื่องจากการที่ผู้ตายใช้ศอกกระแทกหน้าอกจำเลยเป็นเหตุให้จำเลยชกต่อยผู้ตาย 1 ทีแล้ววิ่งหนี จากนั้นนายสมชายจึงเข้าซ้ำเติมใช้มีดปลายแหลมแทงผู้ตาย ซึ่งจำเลยและนายสมชายต่างคนต่างทำร้ายผู้ตายโดยมิได้สมคบกันมาก่อน แม้จะฟังตามคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยว่าจำเลยและนายสมชายยังเที่ยวงานต่อด้วยกันหลังเกิดเหตุ พฤติการณ์ดังกล่าวก็ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยร่วมกับนายสมชายฆ่าผู้ตาย คงฟังได้แต่เพียงว่าจำเลยทำร้ายผู้ตายโดยชกผู้ตาย 1 ที ตามรายงานการชันสูตรพลิกศพท้ายฟ้องระบุว่าผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะเสียเลือดมาก ความตายของผู้ตายมิได้เกิดจากการกระทำของจำเลย จำเลยจึงต้องมีความผิดแต่เฉพาะการกระทำของตนเองเท่านั้น และบาดแผลของผู้ตายที่ได้รับนอกจากบาดแผลถูกแทงด้วยมีดปลายแหลมแล้วไม่มีบาดแผลอื่นที่น่าเชื่อว่าเกิดขึ้นจากถูกจำเลยชกต่อย จำเลยจึงมีความผิดเพียงฐานทำร้ายผู้อื่นไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย หรือจิตใจเพราะโจทก์ได้บรรยายฟ้องด้วยว่าจำเลยชกต่อยประทุษร้ายผู้ตาย ซึ่งศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษายกฟ้องโจทก์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 391 ให้ลงโทษจำคุก 1 เดือน ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share